รีวิว Honda City 2024 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ขับดีเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมออปชันคุ้ม
Thailand Web Stat

รีวิว Honda City 2024 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ขับดีเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมออปชันคุ้ม

รีวิว Honda City 2024 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ขับดีเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมออปชันคุ้ม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

     รีวิว Honda City 2024 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ แม้ว่าในด้านรูปลักษณ์จะมีการเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อย แต่ก็ได้มีการเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานเน้นความคุ้มค่าตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น โดยเฉพาะการใส่ระบบความปลอดภัย Honda SENSING มาให้แบบจุกๆ ประกอบกับขุมพลังเบนซิน 1.0 ลิตร VTEC TURBO และไฮบริด e:HEV ที่ล้วนแต่มีคุณงามความดีกันคนละแบบอยู่แล้วล่ะก็ ยิ่งทำให้รถรุ่นนี้น่าใช้ขึ้นเป็นกองเลยทีเดียว รายละเอียดจะเป็นอย่างไรติดตามได้ในบทความนี้ครับ

     Honda City รุ่นปี 2013 - 2014 โฉมไมเนอร์เชนจ์ ถูกเปิดตัวครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดยแบ่งออกเป็น 5 รุ่นย่อย พร้อมราคาจำหน่ายของแต่ละรุ่น ดังนี้

  • รุ่น 1.0 V ราคา 629,000 บาท
  • รุ่น 1.0 SV ราคา 679,000 บาท
  • รุ่น 1.0 RS ราคา 749,000 บาท
  • รุ่น e:HEV SV ราคา 769,000 บาท
  • รุ่น e:HEV RS ราคา 839,000 บาท

     จะเห็นได้ว่าในรุ่น VTEC TURBO 1.0 ลิตร มีการตัดรุ่นย่อย S ออกไปจากรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ พร้อมทั้งปรับราคาของแต่ละรุ่นขึ้นอีก 10,000 - 20,000 บาท ขณะที่รุ่น e:HEV RS ซึ่งเป็นตัวท็อปสุดยังคงราคาจำหน่ายเท่าเดิมอยู่ที่ 839,000 บาท แต่ที่น่าสนใจคือการเพิ่มรุ่น e:HEV SV เข้ามาเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการความประหยัดแบบไฮบริด แต่ไม่ต้องการจ่ายเงินข้าม 8 แสนบาท เพื่อแลกกับรถซีดานพิกัด B-segment หนึ่งคัน

     ในการทดสอบครั้งนี้ ผมเองได้มีโอกาสทดลองขับทั้งรุ่น VTEC TURBO และ e:HEV ดังนั้นบทความนี้จึงขอกล่าวโดยรวมถึงการปรับปรุงโฉมทั้งสองรุ่นไปพร้อมๆ กันเลยแล้วกันนะครับ

ภายนอก

     จุดเปลี่ยนสำคัญของ Honda City 2013 - 2014 โฉมไมเนอร์เชนจ์ใหม่ อยู่ที่การปรับดีไซน์กันชนหน้า-หลัง, กระจังหน้า และล้ออัลลอย ของทั้งรุ่นปกติและรุ่น RS โดยที่รุ่น RS จะมีการเพิ่มสเกิร์ตข้างเข้ามาเพื่อช่วยให้ตัวรถดูมีความสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ขณะที่ชุดไฟหน้า-ไฟท้ายยังคงเหมือนเดิมทั้งหมด และยังคงสงวนไฟหน้าแบบ LED ไว้เฉพาะเกรด RS เท่านั้น ส่วนรุ่นอื่นๆ จะได้ไฟหน้าแบบโปรเจกเตอร์ Halogen ที่มีหน้าตาเหมือนกับรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์เปี๊ยบ

     ล้ออัลลอยของแต่ละรุ่นมีการปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด โดยรุ่นเทอร์โบ V และ SV จะได้ล้อขนาด 15 นิ้ว ส่วนเกรด RS และไฮบริด e:HEV ทั้งหมดจะได้ล้อขนาด 16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 185/60 R16 ที่ช่วยให้ดูเต็มซุ้มมากยิ่งขึ้น

     แต่ถ้าหากรู้สึกตะหงิดๆ ว่าทำไมล้อของตัวไมเนอร์เชนจ์ มันดันดูคล้ายกับเจเนอเรชันก่อนหน้าที่เป็นโฉมไมเนอร์เชนจ์เหมือนกันแล้วล่ะก็ สามารถจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเลือกเป็นล้ออัลลอยขนาด 15 นิ้ว หรือ 16 นิ้ว ในแพ็กเกจตกแต่งของ Modulo ได้อีกด้วย

ภายใน

     ภายในห้องโดยสารของ ฮอนด้า ซิตี้ โฉมไมเนอร์เชนจ์ ถูกยกชุดมาจากรุ่นก่อนหน้าด้วยเช่นกัน โดยที่เกรด V จะได้เบาะนั่งหุ้มวัสดุผ้าสีดำ และแผงคอนโซลตกแต่งด้วยวัสดุสีเงิน ขยับมาที่เกรด SV จะได้เบาะนั่งหุ้มหนังแท้สลับหนังสังเคราะห์สีดำ พร้อมด้วยแผงคอนโซลและแผงประตูที่ถูกตกแต่งด้วยวัสดุสีแดง

ห้องโดยสารรุ่น e:HEV SV

     ขณะที่เกรด RS จากเดิมที่ได้เบาะนั่งหุ้มหนังสลับหนังกลับ มารอบนี้ถูกเปลี่ยนเป็นเบาะหนังแบบเต็มตัว (หนังแท้สลับหนังสังเคราะห์) พร้อมตกแต่งด้วยตะเข็บสีแดง ขณะที่แผงคอนโซลก็ถูกตกแต่งด้วยวัสดุหนัง พร้อมวัสดุสีแดงเช่นเดียวกัน และเพิ่มความสปอร์ตขึ้นไปอีกด้วยเพดานหลังคาสีดำ ช่วยให้บรรยากาศภายในห้องโดยสารดูมีความพรีเมียมมากยิ่งขึ้น

     ในด้านอุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มเข้ามาในรุ่นไมเนอร์เชนจ์นั้น ทุกรุ่นย่อยมีการเพิ่มเติมด้วยระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติ, ระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมตอยู่ห่างจากตัวรถ (Walk Away Auto Lock), ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์และระบบปรับอากาศด้วยรีโมต (Remote Engine Start) และไฟเตือนเบาะนั่งด้านหลัง (Rear Seat Reminder)

ห้องโดยสารรุ่น TURBO RS

     ขณะที่เกรด SV ขึ้นมาจะได้เครื่องเสียงหน้าจอสัมผัส Advanced Touch ขนาด 8 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สายทั้งคู่ สามารถแสดงภาพจากกล้องมองหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ (Multi-Angle Rearview Camera) พร้อมด้วยช่องเชื่อมต่อ USB Type A จำนวน 2 ตำแหน่งสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า แต่จะมีเฉพาะเกรด RS เท่านั้น (หมายรวมทั้งรุ่น TURBO และ e:HEV) ที่ได้ลำโพง 8 ตำแหน่ง นอกเหนือจากนั้นจะมีลำโพงมาให้ 4 ตำแหน่ง

     ในรุ่นที่เป็นไฮบริด e:HEV ทั้งหมด (e:HEV SV และ e:HEV RS) จะได้หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ TFT ขนาด 7 นิ้ว เพื่อรองรับการแสดงผลของระบบไฮบริด, ช่องจ่ายไฟแบบ USB Type C สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง 2 ตำแหน่ง, ระบบเบรกมือไฟฟ้าพร้อม Auto Brake Hold, แป้นชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) และช่องเก็บของหลังเบาะนั่งคู่หน้าพร้อมช่องขนาดเล็กแยกต่างหากสำหรับเสียบสมาร์ทโฟน

ช่องแอร์หลังและ USB-C มีเฉพาะรุ่น e:HEV เท่านั้น

     ส่วนเกรด RS ทั้งหมด (RS และ e:HEV RS) จะได้ม่านถุงลมนิรภัยด้านข้าง นอกเหนือไปจากถุงลมนิรภัยคู่หน้าและด้านข้างคู่หน้าในรุ่นรอง และระบบเชื่อมต่อ Honda CONNECT ที่สามารถแจ้งเตือนสถานะตัวรถผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ และยังมีฟังก์ชัน Remote Vehicle Control เพื่อใช้ในการสั่งล็อก-ปลดล็อกประตู, สตาร์ทเครื่องยนต์, ตั้งค่าอุณหภูมิระบบปรับอากาศ, ดับเครื่องยนต์ และเปิดไฟหน้า-ไฟท้ายเพื่อส่องทางในเวลากลางคืนได้อีกด้วย

     ในรุ่นท็อปสุดนั่นคือ e:HEV RS ยังมีอุปกรณ์มาตรฐานเพิ่มเติม คือ ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (Honda LaneWatch) และระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ

Advertisement

     จุดเด่นสำคัญของ ฮอนด้า ซิตี้ ไมเนอร์เชนจ์ในครั้งนี้ อยู่ที่การติดตั้งระบบความปลอดภัย Honda SENSING เป็นอุปกรณ์มาตรฐานตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ทำงานผ่านกล้องมุมกว้างที่ติดตั้งไว้บริเวณกระจกหน้า โดยจะประกอบไปด้วย 6 ฟังก์ชันการทำงาน ดังนี้

  • ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก CMBS
  • ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ LKAS
  • ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ RDM with LDW
  • ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ AHB
  • ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC -หรือ- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถคันหน้าที่ความเร็วต่ำ ACC with LSF (เฉพาะเกรด e:HEV ทั้ง 2 รุ่น)
  • ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่ LCDN

เรือนไมล์ของรุ่น e:HEV

เครื่องยนต์และช่วงล่าง

     ด้านขุมพลังและระบบช่วงล่างของโฉมไมเนอร์เชนจ์ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ไปจากเดิมทั้งสิ้น จะมีก็เพียงการเพิ่มขนาดแก้มยางให้หนาขึ้นเล็กน้อย (จากซีรี่ย์ 55 เป็นซีรี่ย์ 60 ในรุ่นที่ติดตั้งล้อขนาด 16 นิ้ว)

     รุ่นเบนซิน 1.0 ลิตร VTEC TURBO ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 3 สูบเทอร์โบ ความจุ 1.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000 - 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ CVT ให้อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.8 กม./ลิตร และรองรับน้ำมันทางเลือกสูงสุด E20

เรือนไมล์ของรุ่น 1.0 TURBO

     รุ่นไฮบริด e:HEV ติดตั้งเคริ่องยนต์เบนซิน 4 สูบ ความจุ 1.5 ลิตร Atkinson-cycle ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,600 - 6,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 127 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 - 5,000 รอบต่อนาที ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 109 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT พร้อมแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน ให้แรงบิดมอเตอร์ไฟฟ้าสูงสุด 258 นิวตัน-เมตร มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 27.8 กม./ลิตร

     ทุกรุ่นมาพร้อมระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สันสตรัทอิสระ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทอร์ชันบีม พร้อมระบบดิสก์เบรกคู่หน้าแบบมีครีบระบายความร้อน ขณะที่ด้านหลังของรุ่นเทอร์โบจะใช้ระบบดรัมเบรกเหมือนกันทุกรุ่นย่อย จะมีเฉพาะรุ่นไฮบริด e:HEV เท่านั้นที่ให้ดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ

การขับขี่

     ในแง่ของการขับขี่ Honda City 2024 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ต้องบอกว่ายังคงรักษาคุณงามความดีของโฉมก่อนไมเนอร์เชนจ์เอาไว้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นช่วงล่างที่ถูกเซ็ตมาอย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่นิ่มหรือแข็งจนเกินไป สามารถดูดซับแรงสะเทือนจากพื้นถนนได้ดี ในขณะเดียวกันก็สามารถเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ ถือว่าเป็นช่วงล่างที่เหมาะสมสำหรับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน เพราะไม่ได้แข็งกระด้างจนตึงตังเวลาขับรูดฝาท่อหรือรอยต่อถนน แต่ก็ยังให้ความมั่นใจพอสมควรเมื่อใช้ความเร็วสูง

     ขณะที่รุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบก็ต้องยอมรับว่าแรงสมคำล่ำลือ เมื่อใช้ระบบส่งกำลังแบบ CVT ก็ช่วยให้เครื่องยนต์สามารถเค้นแรงบิดได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องลากรอบสูง แอบมีบุคลิกคล้ายกับเครื่องยนต์ดีเซล คือแค่เพิ่มน้ำหนักคันเร่งลงไปเบาๆ ก็มากพอที่จะเร่งแซงรถคันหน้าได้แบบไม่ต้องลุ้นแล้ว

     ส่วนรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด e:HEV ก็มีบุคลิกที่แตกต่างไปจากรุ่นเทอร์โบพอสมควร โดยจะออกไปในแนวมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่า แม้ว่าการตอบสนองอาจจะไม่จี๊ดจ๊าดเท่า แต่ก็มีพละกำลังให้เรียกใช้อย่างเหลือเฟือไม่แพ้กัน

     จุดต่างสำคัญอีกหนึ่งอย่างระหว่างรุ่นเทอร์โบและไฮบริด จะอยู่ที่อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงสำหรับการขับขี่ในเมือง เนื่องจากรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบก็จะมีอัตราสิ้นเปลืองเหมือนกับรถสันดาปทั่วไป คือขับทางไกลก็ประหยัดนั่นแหละ แต่พอเจอรถติดขัดในเมืองตัวเลขก็จะหล่นฮวบไปทันที

     แต่สำหรับรุ่นเครื่องยนต์ไฮบริด e:HEV กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะแม้ว่าการขับขี่นอกเมืองจะประหยัดน้ำมันชนิดถึงอกถึงใจแล้ว การขับขี่ในเมืองก็ยังคงมอบความประหยัดไม่แพ้กัน เนื่องจากเป็นระบบ Full-hybrid ที่มีมอเตอร์ไฟฟ้าและแบตเตอรี่เข้ามาช่วยเสริมการทำงานของเครื่องยนต์ได้อย่างเต็มที่ จึงกลายเป็นข้อได้เปรียบสำหรับใครก็ตามที่ต้องขับรถในเมืองอยู่เป็นประจำ รุ่น e:HEV น่าจะตอบโจทย์ในเรื่องความประหยัดน้ำมันได้ไม่น้อยทีเดียว

     อันที่จริงการทดสอบในครั้งนี้ ฮอนด้าก็ได้มีกิจกรรมให้ร่วมสนุกกันเล็กน้อย นั่นคือการทดสอบขับประหยัดน้ำมันในรุ่นเครื่องยนต์ 1.0 ลิตร VTEC TURBO ซึ่งจากการที่เราฝ่ารถติดสาหัสบนถนนมอเตอร์เวย์มุ่งหน้าบางปะอิน ก่อนที่เส้นทางจะเปิดโล่งพอให้ใช้ความเร็วคงที่ประมาณ 80 กม./ชม. ไปจนถึง จ.สิงห์บุรีนั้น เราสามารถทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้อยู่ที่ 28.90 กม./ลิตร (อ้างอิงจากตัวเลขที่ปรากฏบนหน้าจอ) ซึ่งถือว่าเกินที่เคลมไว้อยู่มากโขทีเดียว

     แต่ถึงแม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะมาจากความพยายามอย่างยิ่งยวดในการปั้นตัวเลขนี้ออกมา แต่ก็เชื่อเหลือเกินว่าหากชีวิตจริงขับทางไกลแบบไม่รีบร้อน ใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนด หลีกเลี่ยงการเร่งแซงโดยไม่จำเป็น ก็น่าจะทำตัวเลขได้ไม่ต่ำกว่า 20 กม./ลิตรอย่างแน่นอน

สรุป

     Honda City 2023 - 2024 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ แม้ว่าจะมีการปรับปรุงภายนอกแค่เพียงเล็กน้อย (ซึ่งก็ถือเป็นธรรมเนียมปกติของฮอนด้าแทบทุกรุ่น) แต่การเพิ่มอุปกรณ์มาตรฐานหลายอย่างเข้ามา ก็พอที่จะช่วยสร้างแรงดึงดูดให้หลายคนตัดสินใจเลือกซื้อรถรุ่นนี้ได้ง่ายขึ้น และไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจกันจนเกินไปนัก ยิ่งการเพิ่มรุ่นย่อย e:HEV SV เข้ามาด้วยราคาต่ำกว่า 8 แสนบาท ส่งผลให้กลายเป็นรถไฮบริดที่มีราคาจำหน่ายเข้าถึงง่ายที่สุดในขณะนี้ แม้ว่าอุปกรณ์หลายอย่างจะถูกลดทอนไปจากรุ่น RS พอสมควรก็ตาม

     เอาเป็นว่าหากคุณจำเป็นต้องซื้อรถเพียงคันเดียวของบ้าน เน้นขับไปทำงานในวันธรรมดา และพาครอบครัวไปเที่ยวพักผ่อนในวันหยุด มาพร้อมเทคโนโลยีเครื่องยนต์ที่ทันสมัย ให้ความประหยัดน้ำมันเกินตัว มีช่วงล่างที่นุ่มนวลนั่งสบาย และมีอุปกรณ์มาตรฐานเพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปแล้วล่ะก็ ฮอนด้า ซิตี้ ไมเนอร์เชนจ์ ถือว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดีทีเดียวครับ

อัลบั้มภาพ 62 ภาพ

อัลบั้มภาพ 62 ภาพ ของ รีวิว Honda City 2024 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ ขับดีเหมือนเดิม แต่เพิ่มเติมออปชันคุ้ม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook
kookkak

เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เราใช้คุกกี้เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดีที่สุดบน
เว็บไซต์ของเรา โปรดศึกษาเพิ่มเติมที่
นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้