รีวิว Toyota Corolla CROSS 2024 ไมเนอร์เชนจ์ใหม่ หล่อครบคุ้มแถมประหยัดถึงใจ
Toyota Corolla CROSS ถือเป็นหนึ่งในโมเดลขายดีของโตโยต้าประเทศไทย ด้วยขนาดตัวที่กะทัดรัด แต่เปี่ยมความอเนกประสงค์แบบเอสยูวี แถมยังมีราคาที่น่าจับต้อง เหมาะสำหรับครอบครัวที่กำลังมองหา "ตัวจบ" จะใช้งานคนเดียวก็ไม่เทอะทะ จะใช้เป็นรถครอบครัวช่วงวันหยุดก็ตอบโจทย์ได้ดี
การปรับโฉม Toyota Corolla CROSS 2024 ไมเนอร์เชนจ์ครั้งนี้ จึงถือเป็นการเพิ่มความคุ้มค่าน่าใช้มากยิ่งขึ้น ด้วยออปชันที่เติมเข้ามาตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นยันรุ่นท็อป แถมยังคงราคาจำหน่ายเท่าเดิมทุกรุ่นย่อย จึงไม่น่าแปลกที่โตโยต้าตั้งเป้ายอดจำหน่ายรถรุ่นนี้เอาไว้ถึง 1,500 คันต่อเดือน ซึ่งไม่ใช่เป้าที่ง่ายเลยสำหรับรถระดับราคา 1 ล้านบาทขึ้นไป
World Premiere หน้าใหม่ - หัวใจเดิม
หากย้อนกลับไปเมื่อปี 2563 ไทยถือเป็นประเทศแรกของโลกที่ได้ทำการเปิดตัว โตโยต้า โคโรลล่า ครอส ก่อนจะทยอยเปิดตัวในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกในเวลาต่อมา ขณะที่การปรับโฉมในครั้งนี้ ไทยก็ถือเป็นประเทศแรกที่ได้รับการเปิดตัวรูปลักษณ์ใหม่ที่ใช้กระจังหน้าแบบ "Multi-Dimensional Design" ขณะที่รายละเอียดด้านเครื่องยนต์และเทคนิคต่างๆ ยังคงเหมือนเดิมแทบทั้งหมด
การปรับโฉมครั้งนี้ยังคงไลน์อัปเหมือนเดิมทุกรุ่นย่อย โดยมีให้เลือกทั้งหมด 4 รุ่น พร้อมราคาจำหน่าย ดังนี้
- รุ่น 1.8 Sport Plus ราคา 999,000 บาท
- รุ่น HEV Premium ราคา 1,094,000 บาท
- รุ่น HEV Premium Luxury ราคา 1,204,000 บาท
- รุ่น HEV GR Sport ราคา 1,254,000 บาท
Toyota Corolla CROSS โฉมไมเนอร์เชนจ์ มีการเปลี่ยนไปใช้กระจังหน้าแบบไร้กรอบคล้ายกับที่พบใน Lexus RX ช่วยให้ตัวรถดูมีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยทุกรุ่นย่อยจะได้ไฟหน้าแบบ LED Crystalized Headlamp พร้อมไฟเลี้ยวด้านหน้าแบบ LED Sequential เป็นมาตรฐาน ขณะที่ไฟท้ายมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดต่างไปจากเดิมเล็กน้อยพอให้แยกแยะจากรุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ได้
ทุกรุ่นย่อยยังถูกเพิ่มเติมอุปกรณ์ความสะดวกสบายภายในห้องโดยสาร ได้แก่ หน้าจออินโฟเทนเมนท์แบบสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว ความละเอียดระดับ HD รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย, ช่องจ่ายไฟแบบ USB Type-C 2 จุดสำหรับผู้โดยสารตอนหลัง, เบรกมือไฟฟ้า EPB พร้อมระบบหน่วงเบรกอัตโนมัติ ABH และสัญญาณเตือนกะระยะหน้า-หลัง โดยทั้งหมดนี้โตโยต้าเพิ่มให้ในราคาจำหน่ายเท่าเดิมทั้งหมด
รุ่น HEV Premium Luxury และ HEV GR Sport เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากสุด
สำหรับรุ่นที่เราได้มีโอกาสทดสอบในทริปครั้งนี้ เป็นรุ่น HEV Premium Luxury ที่มีอุปกรณ์มาตรฐานอัดแน่นมากที่สุด และรุ่น HEV GR Sport ที่ถูกวางตำแหน่งให้เป็นเวอร์ชันสปอร์ตของตระกูล GR
โดยรุ่น HEV Premium Luxury (ราคาจำหน่าย 1,204,000 บาท) มีการเพิ่มเติมอุปกรณ์มาตรฐานจากเดิม ได้แก่ หลังคากระจก Panorama Roof แบบไร้คานกลาง พร้อมม่านบังแดดเลื่อนเปิด-ปิดไฟฟ้า, ที่ชาร์จไร้สาย Wireless Charger, กล้องมองภาพรอบคัน Panoramic View Monitor (PVM), เบาะนั่งสี Dark Rose (ขึ้นกับสีภายนอก) กล้องบันทึกการขับขี่หน้า-หลัง ติดตั้งมาให้จากโรงงาน, หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ Full Digital 12.3 นิ้ว และล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้วใหม่ โดยทั้งหมดนี้เพิ่มเติมจากอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่นย่อยที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว
ขณะที่รุ่น HEV GR Sport (ราคาจำหน่าย 1,254,000 บาท) มีการเพิ่มเติมอุปกรณ์มาตรฐานเทียบเท่ากับรุ่น HEV Premium Luxury เพียงแต่ภายนอกจะมีการปรับเปลี่ยนเฉพาะไฟหน้า LED Crystalized และไฟท้ายดีไซน์ใหม่เท่านั้น เนื่องจากโตโยต้ายังคงต้องการรักษาเอกลักษณ์ในแบบ GR Sport เอาไว้นั่นเอง
อุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ของทั้งสองรุ่นย่อยประกอบด้วย เบาะนั่งผู้ขับขี่ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง, เบาะนั่งด้านหลังปรับเอนพนักพิงได้ 1 ระดับ, เบาะหลังปรับแยก 60:40, ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ Dual-zone แยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวา พร้อมช่องแอร์หลัง, ระบบเชื่อมต่อ T-Connect, กระจกมองหลังปรับลดแสงสะท้อนอัตโนมัติ, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันปรับได้ 4 ทิศทาง และประตูท้ายไฟฟ้า พร้อมเซ็นเซอร์ Kick-Activated ที่สามารถใช้เท้าสอดเข้าไปบริเวณใต้กันชนหลังเพื่อเปิดและปิดประตูท้ายได้
โดยทั้ง 2 รุ่นย่อย ยังคงติดตั้งระบบความปลอดภัยขั้นสูง Toyota Safety Sense ที่มีให้ตั้งแต่รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์ แถมยังเพิ่มเติมด้วยระบบ PKSB หรือ Parking Support Brake ที่นอกจากจะเตือนรถเคลื่อนผ่านขณะจอดหรือถอยออกจากซองได้แล้ว ยังสามารถเบรกเองได้โดยอัตโนมัติหากพบความเสี่ยงที่ตัวรถจะเคลื่อนตัวชนกับวัตถุรอบคันทั้งหน้าและหลังได้อีกด้วย
ส่วนฟังก์ชันอื่นๆ ของระบบ Toyota Safety Sense ที่ติดตั้งลงใน Toyota Corolla CROSS 2024 ได้แก่
- ระบบ Dynamic Radar Cruise Control แบบ All-speed
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน LTA
- ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS
- ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลนพร้อมพวงมาลัยหน่วงกลับอัตโนมัติ LDA
- ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ AHB
โดยทุกรุ่นย่อยถูกติดตั้งอุปกรณ์ความปลอดภัย ได้แก่ ระบบควบคุมการทรงตัว VSC, ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS, ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC, ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM พร้อมช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA, ระบบเบรก ABS/EBD/BA, ระบบเตือนแรงดันลมยาง TPMS (ยกเว้นรุ่น 1.8 Sport Plus), เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ ELR, เข็มขัดนิรภัยด้านหลัง ELR 3 จุด 3 ตำแหน่ง, ถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, ม่านถุงลมนิรภัย และถุงลมหัวเข่าผู้ขับขี่ เป็นต้น
Toyota Corolla CROSS 2024 ยังคงเน้นทำตลาดด้วยเครื่องยนต์ไฮบริดรหัส 2ZR-FXE แบบ 4 สูบ VVT-i ความจุ 1.8 ลิตร กำลังสูงสุดเครื่องยนต์ 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดเครื่องยนต์ 142 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาที พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 53 kW แรงบิดสูงสุด 163 นิวตัน-เมตร เมื่อทำงานร่วมกันจะให้กำลังสูงสุดที่ 122 แรงม้า (PS) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ E-CVT และมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 23.3 กม./ลิตร
ส่วนรุ่น 1.8 Sport Plus จะถูกติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ รหัส 2ZE-FBE ความจุ 1.8 ลิตร Dual VVT-i ให้กำลังสูงสุด 140 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 177 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i 7 สปีด พร้อม Sequential Shift รองรับน้ำมันทางเลือก E85 ได้
การขับขี่ในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ยังเนียนเหมือนเดิม
Toyota Corolla CROSS รุ่น HEV ยังคงรักษามาตรฐานการทำงานของระบบไฮบริดที่เนียนและนุ่มนวล หากเป็นการขับขี่ที่ความเร็วต่ำ เราแทบจะไม่สามารถแยกออกเลยว่าตัวรถอยู่ในโหมดขับขี่ด้วยไฟฟ้า หรือมีเครื่องยนต์เข้ามาเสริมการทำงานด้วย ซึ่งถือเป็นไฮไลต์ของระบบไฮบริดเจเนอเรชันที่ 4 ของโตโยต้าที่สามารถลดรอยต่อของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี
การขับขี่ทั่วไปบนทางด่วนบางพลี-สุขสวัสดิ์ที่มีการจราจรค่อนข้างหนาแน่น เราได้มีโอกาสทดลองระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Dynamic Radar Cruise Control แบบ All-speed เปิดใช้งานคู่กับระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่กลางเลน LTA ก็พบว่าทั้งสองระบบสามารถตอบสนองการทำงานได้เป็นอย่างดี โดยหากมีรถเปลี่ยนเลนเข้ามาแทรกระหว่างรถคันหน้าแล้วล่ะก็ ระบบจะค่อยๆ ลดความเร็วเพื่อปรับระยะห่างกับรถที่เพิ่งแทรกเข้ามาได้อย่างนุ่มนวล ไม่สักแต่เบรกหัวทิ่มเหมือนกับรถบางรุ่น แต่ถึงกระนั้นก็ยังสามารถปรับระยะห่างได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล จุดนี้เองถือว่าโตโยต้าทำออกมาได้ดีเกินคาด เหมาะอย่างยิ่งกับสภาพจราจรอันยุ่งเหยิงในบ้านเรา
นอกจากนี้ ดูเหมือนว่าระบบไฮบริดจะเหมาะสมกับสภาพจราจรที่เคลื่อนตัวตามกันไปเรื่อยๆ มีการเพิ่มและลดความเร็วสลับกันไป เพราะเราออกสตาร์ทจาก Toyota Alive ด้วยหน้าจอที่แสดงค่าเฉลี่ยอัตราสิ้นเปลือง 14.1 กม./ลิตร ก่อนที่ตัวเลขจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นไปเรื่อนๆ จนกระทั่งถึงจุดหมายแรก ณ Takanta Cafe & Restaurant จ.เพชรบุรี รวมระยะทางทั้งสิ้น 126 กิโลเมตร หน้าจอแสดงอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่ 23.5 กม./ลิตร กับความเร็วที่ใช้เดินทางช่วงถนนโล่งราว 90-110 กม./ชม.
ขณะที่ช่วงล่างก็ยังคงรักษาความดีงามตามฉบับรถที่ใช้แพล็ตฟอร์ม TNGA ซึ่งรุ่น Premium Luxury และ GR Sport จะถูกเซ็ตช่วงล่างแตกต่างกันเล็กน้อย โดยที่ GR Sport จะให้ความหนึบหนับมากกว่ารุ่นปกติประมาณ 15-20% แต่ก็ไม่ถึงขั้นแข็งกระด้างจนน่ารำคาญ ขณะที่รุ่น Premium Luxury จะมีช่วงล่างที่ให้ตัวได้มากกว่า มอบความนุ่มนวลมากกว่า แต่ก็ยังคงเสถียรภาพและความนิ่งที่ความเร็วสูงได้ดีไม่แพ้กัน
ดีขึ้นรอบด้าน แต่ราคาจำหน่ายเท่าเดิม
แม้ว่า Toyota Corolla CROSS 2024 จะไม่ได้มีการปรับปรุงรายละเอียดทางเทคนิคแตกต่างไปจากเดิมมากนัก แต่ที่เห็นได้ชัดเจนคือการเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมายตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นไปจนถึงรุ่นท็อปสุด ซึ่งทั้งหมดนี้มาในราคาจำหน่ายเท่าเดิมไม่มีเพิ่มแม้แต่บาทเดียว ถือเป็นการเพิ่มความคุ้มค่าน่าใช้ให้กับครอสโอเวอร์รุ่นนี้ได้เป็นอย่างดี
แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้ากำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบัน แต่ Toyota ก็ยังยืนหยัดเดินหน้าทำตลาดรถไฮบริดอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง Corolla CROSS HEV ก็ตอบโจทย์ได้ดีสำหรับผู้ที่ต้องการรถสำหรับใช้งานจริงๆ ไม่ต้องมาคอยชาร์จไฟตามตู้สาธารณะให้เสียเวลา วันไหนนึกครึ้มอยากจะขับไปต่างจังหวัดไกลๆ ก็ทำได้ทันที ไม่ต้องมานั่งวางแผนหาตู้ชาร์จเหมือนรถไฟฟ้า แถมยังหายห่วงด้วยบริการหลังการขายที่ไว้ใจได้ตามฉบับโตโยต้า จะครองรถคันนี้ไป 5 ปี 10 ปี หรือ 15 ปี ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ากังวลแต่อย่างใด
ทั้งหมดนี้แลกมากับค่าตัวเริ่มต้นตั้งแต่ 999,000 บาท ในรุ่นเบนซิน 1.8 ลิตร และ 1,094,000 บาท ในรุ่น Hybrid จะกลายเป็นที่นิยมขนาดไหนก็เตรียมรอดูยอดขายได้เลย
อัลบั้มภาพ 25 ภาพ