เพิ่งจะรู้! ทำไมรหัสยางรถยนต์ต้องลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ
หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่าตัวเลขบริเวณแก้มยางบ่งบอกถึงขนาดของยางแต่ละเส้นที่แตกต่างกันออกไป แต่เคยสงสัยหรือไม่ว่าทำไมตัวเลขที่แสดงถึงขนาดความกว้างของหน้ายาง ถึงลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ บทความนี้ Sanook Auto มีคำตอบมาฝากกัน
เลขแก้มยางคืออะไร?
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจรหัสบนแก้มยางกันก่อนดีกว่า โดยรหัสดังกล่าวจะเป็นชุดตัวเลขที่บ่งบอกถึงขนาดยางแต่ละเส้น จะได้เลือกใส่ให้ตรงกับสเปกของรถแต่ละรุ่น ยกตัวอย่างเช่น "225 / 45 R17"
- 225 คือ ความกว้างหน้าตัดของยาง มีหน่วยเป็น มม.
- 45 คือ ซีรี่ย์ขนาดแก้มยาง โดยเป็นค่าความสัมพันธ์ระหว่างความสูงแก้มยางและความกว้างของยาง (ในที่นี้หมายถึง ความสูงแก้มยางคิดเป็น 45% ของความกว้างยาง)
- R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดีบล Radial
- 17 คือ ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของล้อ
ทำไมขนาดความกว้างยางต้องลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ?
หากใครเคยเลือกซื้อยางรถยนต์จะพบว่า ยางรถยนต์ทุกขนาดจะมีความกว้างของยางลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ (เช่น 195, 205, 215,....) โดยเราไม่มีทางพบเห็นยางรถยนต์ที่มีขนาดความกว้างลงท้ายด้วยเลข 0 ได้เลย
นั่นเป็นเพราะหน่วยงานที่เรียกว่า ETRTO หรือ European Tyre & Rim Technical Organization ตั้งอยู่ในกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1964 มีหน้าที่กำหนดรูปแบบมาตรฐานของยางสำหรับวางจำหน่ายในยุโรป กำหนดให้ยางที่ใช้สำหรับรถยนต์นั่ง (Passenger Car), รถกระบะ/รถบรรทุกขนาดเล็ก (Light Truck) และรถเพื่อการพาณิชย์ (Commercial Vehicle) จะต้องมีขนาดความกว้างหน้าตัดยางลงท้ายด้วยเลข 5 เพื่อลดความสับสนกับยางสำหรับรถจักรยานยนต์ (Motorcycle) และรถเพื่อการเกษตร (Agricultural Vehicle) ที่กำหนดให้ลงท้ายด้วยเลข 0 นั่นเอง
นั่นจึงเป็นสาเหตุว่ายางรถยนต์ทุกเส้นบนโลกจะมีขนาดความกว้างลงท้ายด้วยเลข 5 เสมอ ต่างกับยางรถจักรยานยนต์ที่จะลงท้ายด้วยเลข 0 แทน
เกร็ดความรู้: แม้ว่าสหรัฐอเมริกาและประเทศในกลุ่มสหราชอาณาจักร จะใช้ระบบการวัดแบบอิมพีเรียล (Imperial Units) ที่มีหน่วยเป็นนิ้ว, ไมล์, ฟุต และยาร์ด แต่หากพูดถึงขนาดของยางรถยนต์ พวกเขาเลือกที่จะใช้หน่วยเป็นมิลลิเมตรเหมือนกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก