All-new Kia EV3 ใหม่ เอสยูวีไฟฟ้าดีไซน์ย่อส่วนจาก EV9 แบตขับขี่ไกลสุด 600 กม.

Kia EV3 2025 ใหม่ ถูกเปิดตัวอย่างเป็นทางการครั้งแรกในโลก ชูจุดขายด้วยแบตเตอรี่ขับขี่ไกลสุด 600 กม. ต่อการชาร์จ 1 ครั้ง และเทคโนโลยี Kia AI Assistant พร้อมดีไซน์ภายนอกย่อส่วนมาจาก Kia EV9

Kia EV3 ถูกพัฒนาให้เป็นรถคอมแพ็กเอสยูวีขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า 100% บนแพล็ตฟอร์ม E-GMP (Electric Global Modular Platform) สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้าโดยเฉพาะ ตัวถังมีความยาว 4,300 มม. ความกว้าง 1,850 มม. ความสูง 1,560 มม. และความยาวฐานล้อ 2,680 มม. พร้อมเทคโนโลยีแบตเตอรี่เจเนอเรชันที่ 4 ของ Kia ซึ่งสามารถเลือกได้ทั้งขนาด 58.3 kWh และ 81.4 kWh

Kia EV3 ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 204 แรงม้า (150 kW) แรงบิดสูงสุด 283 นิวตัน-เมตร อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 170 กม./ชม.

ในรุ่น EV3 Long Range มีระยะทางขับขี่คาดการณ์อยู่ที่ประมาณ 600 กม. ต่อการชาร์จแต่ละครั้ง (WLTP) ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานต่ำเพียง 0.263 รองรับการขับขี่ทางไกลได้อย่างสะดวกสบายแม้ว่าจะเป็นรถขนาดคอมแพ็กก็ตาม และสามารถชาร์จด่วนจาก 10-80% ได้ในเวลาราว 31 นาที

ภายในห้องโดยสารสามารถรองรับได้ 5 ที่นั่ง มีพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายขนาด 460 ลิตร แผงคอนโซลหน้าประกอบไปด้วยหน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่ขนาด 12.3 นิ้ว จอสัมผัส AVN ขนาด 12.3 นิ้ว และจอควบคุมระบบปรับอากาศขนาด 5 นิ้ว สามารถควบคุมได้อย่างสะดวกสบายไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสาร

Kia EV3 ยังเป็นรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นแรกที่ถูกติดตั้งระบบ AI Assistant ที่ถูกติดตั้งเป็นครั้งแรกในรุ่น Kia K4 ซึ่งเกียระบุว่าช่วยให้สามารถรองรับการสั่งงานได้ราวกับมนุษย์ โดยระบบสามารถเข้าใจคำสั่งเสียงได้อย่างเป็นธรรมชาติแม้ว่าจะเป็นประโยคที่มีความซับซ้อน ขณะที่ระบบ AI Assistant ยังช่วยให้ผู้โดยสารสามารถเพลิดเพลินกับฟังก์ชันและระบบความบันเทิงต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ขณะเดินทาง

นอกจากนี้ Kia EV3 ยังมาพร้อมระบบ Premium Streaming บนแพล็ตฟอร์ม Automotive Content Platform (ACP) ที่พัฒนาโดย LG ช่วยให้สามารถเล่มเกมได้อย่างสนุกสนาน ควบคู่ไปกับระบบเสียงคุณภาพจาก Harman Kardon รวมถึงรับชมคอนเทนท์ความบันเทิงต่างๆ ขณะรถหยุดนิ่งได้

ทั้งนี้ Kia EV3 มีแผนเริ่มวางจำหน่ายที่เกาหลีใต้ในเดือนกรกฎาคมปีนี้ ก่อนจะตามด้วยตลาดยุโรปในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 และยังมีแผนวางจำหน่ายในภูมิภาคอื่นๆ ต่อไป