ทำไมหลายคนเปลี่ยนจาก "รถยุโรป" มาใช้ "รถญี่ปุ่น" เหมือนเดิม?
รถยุโรปหรูถือได้ว่าเป็นรถในฝันของใครหลายคน หากเริ่มขยับขยายฐานะมีรายรับที่มากพอ ก็มักจะเปลี่ยนจากรถญี่ปุ่นไปเป็นรถยุโรปเพื่อตอบสนองความต้องการตั้งแต่วัยเด็ก แต่ทราบหรือไม่ว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่พอได้เป็นเจ้าของรถยุโรปแล้ว กลับอยากจะหันไปใช้รถญี่ปุ่นดังเดิม สาเหตุเป็นเพราะอะไร บทความนี้ Sanook Auto มีคำตอบมาฝากกัน
5 เหตุผลที่ทำให้หลายคนเปลี่ยนใจจากรถยุโรปมาใช้รถญี่ปุ่น
1. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา - หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลายคนกลับมาใช้รถญี่ปุ่น คือ ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาที่ค่อนข้างสูงของรถยุโรป ทั้งค่าอะไหล่ ค่าแรง และค่าซ่อมบำรุงต่างๆ ที่มักจะสูงกว่ารถญี่ปุ่นอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถยุโรปบางรุ่นที่มีเทคโนโลยีที่ซับซ้อน อาจต้องพึ่งพาช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการซ่อมแซม ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นไปอีก
2. ความทนทานและความน่าเชื่อถือ - รถญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องความทนทานและความน่าเชื่อถือ สามารถใช้งานได้นาน และมีปัญหาเสียหายน้อยกว่าเมื่อเทียบกับรถยุโรปบางรุ่น นอกจากนี้ ศูนย์บริการของรถญี่ปุ่นมักกระจายตัวอยู่ทั่วประเทศ ทำให้การเข้ารับบริการซ่อมบำรุงทำได้สะดวกกว่า
3. ค่าเสื่อมราคา - รถยนต์ทุกคันมีค่าเสื่อมราคา แต่รถญี่ปุ่นโดยทั่วไปมีอัตราการเสื่อมราคาที่ต่ำกว่ารถยุโรป ทำให้ขาดทุนน้อยกว่าเมื่อถึงเวลาขายต่อ ขณะที่รถยุโรปมักจะต้องรับค่าเสื่อมไม่ต่ำกว่าหลักล้านบาท
4. ความคุ้มค่า - แม้ว่ารถยุโรปจะขึ้นชื่อในเรื่องของเทคโนโลยีล้ำหน้าคู่แข่ง แต่รถญี่ปุ่นในปัจจุบันก็มีการติดตั้งออปชันไม่แพ้รถยุโรปเช่นเดียวกัน แถมอุปกรณ์หลายอย่างมีมากกว่ารถยุโรปในราคาใกล้เคียงกัน จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมรถญี่ปุ่นถึงให้ความคุ้มค่าได้ดีกว่า
5. ความเรียบง่ายและใช้งานง่าย - รถญี่ปุ่นมักมีดีไซน์ที่เรียบง่ายและใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อนเหมือนรถยุโรป ทำให้ผู้ขับขี่รู้สึกคุ้นเคยและสามารถใช้งานได้สะดวก อีกทั้งอุปกรณ์หลายอย่างถูกออกแบบให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน จึงประหยัดค่าบำรุงรักษาได้อีกทางหนึ่งด้วย
การเลือกซื้อรถยนต์เป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่เรื่องของดีไซน์และสมรรถนะ แต่ยังรวมถึงค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ความทนทาน และความคุ้มค่าด้วย ดังนั้น รถยุโรปอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับทุกคนนั่นเองครับ