รีวิว MG3 Hybrid+ ใหม่ ทั้งแรง ทั้งประหยัด แถมช่วงล่างดีเกินคาด
รีวิว MG3 Hybrid+ ใหม่ เก๋งแฮทช์แบ็กรุ่นเล็กสุดจากเอ็มจี ปรับโฉมครั้งนี้มาพร้อมขุมพลังไฮบริด 194 แรงม้าตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ชูจุดขายน้ำมันถังเดียววิ่งไกลกว่า 800 กม. ขับจริงจะเป็นอย่างไรติดตามได้กับ Sanook Auto ในบทความนี้ครับ
All-new MG3 ยกระดับสู่ Global Design
All-new MG3 Hybrid+ ถือเป็นเจเนอเรชันที่ 2 ในตลาดเมืองไทย (หรือ Gen 3 ในตลาดโลก) โดยมีการยกระดับงานดีไซน์เพื่อจับกลุ่มลูกค้าชาวยุโรป ด้วยเส้นสายที่สอดคล้องกับรถ MG ยุคใหม่ มาพร้อมไฟหน้า LED ดีไซน์แบบ Hunter Eye Headlamp รับกับกระจังหน้าที่เน้นความโค้งมน ขณะที่ไฟท้ายถูกระบุว่าได้แรงบันดาลใจมาจากปีกของผีเสื้อ แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ใช่ไฟท้ายแบบ LED
มิติตัวถังของ MG3 Hybrid+ เทียบกับ MG3 Gen 1
ยาว x กว้าง x สูง (มม.)
MG3 Hybrid+ : 4,113 x 1,797 x 1,502
MG3 Gen 1 : 4,018 x 1,728 x 1,507
ระยะฐานล้อ (มม.)
MG3 Hybrid+ : 2,570
MG3 Gen 1 : 2,520
จะเห็นได้ว่า MG3 Hybrid+ ใหม่ มีขนาดตัวถังใหญ่ขึ้นกว่าเดิมเกือบทุกมิติ โดยเฉพาะความกว้างที่เพิ่มขึ้นจากเดิมถึงเกือบ 6 เซนติเมตร และความยาวฐานล้อที่เพิ่มขึ้น 5 เซนติเมตร เหล่านี้มีผลช่วยให้ห้องโดยสารกว้างขวางขึ้นกว่ารุ่นเดิม ส่วนพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีขนาด 293 ลิตร สามารถขยายเพิ่มเป็น 1,037 ลิตร เมื่อพับพนักพิงเบาะหลังลง
อุปกรณ์มาตรฐานภายนอกอื่นๆ
- ไฟหน้าแบบ LED เปิด-ปิดอัตโนมัติ
- ไฟส่องสว่างเวลากลางวัน LED
- ไฟตัดหมอกหลัง
- กระจกมองข้างปรับ-พับอัตโนมัติ พร้อมไฟเลี้ยว
- ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ พร้อมที่ปัดน้ำฝนหลัง
- ล้ออัลลอยสีทูโทนขนาด 16 นิ้ว
ห้องโดยสารเน้นฟังก์ชันเพียบ
ภายในห้องโดยสารของ MG3 Hybrid+ ถูกพัฒนาภายใต้แนวคิด Modular Concept เน้นออกแบบให้ดูมีมิติ โดยรุ่นท็อปจะถูกตกแต่งด้วยโทนสีขาวสลับดำ พร้อมแผงคอนโซลหน้าที่ถูกจัดวางหน้าจอและพวงมาลัยคล้ายกับ MG4
แม้ว่า MG3 Hybrid+ จะไม่มีการติดตั้งหลังคาซันรูฟมาให้เหมือนกับรุ่นอื่นๆ ของเอ็มจี แต่นั่นก็ช่วยเพิ่มพื้นที่เหนือศีรษะให้โปร่งโล่งมากขึ้น เพราะสามารถขยายเพดานหลังคาได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงถึงกลไกของชุดซันรูฟที่มักจะเบียดเบียนพื้นที่เหนือศีรษะเสมอ
เหนือคอนโซลหน้าถูกติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 10.25 นิ้ว พร้อม Interface หน้าตาคุ้นเคย เสริมการทำงานด้วยปุ่ม Home และปุ่ม Hotkeys ต่างๆ รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย พร้อมช่อง USB-A และ USB-C อย่างละ 1 ช่องที่ด้านหน้า และช่อง USB-A อีก 1 ช่อง สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ขับกำลังเสียงผ่านลำโพง 6 ตำแหน่ง
อย่างไรก็ดี MG3 Hybrid+ ได้รวบรวมเอาแทบทุกฟังก์ชันไปไว้บนหน้าจอสัมผัส การปรับตั้งค่าเกือบทุกอย่างจึงจำเป็นต้องทำผ่านหน้าจอเท่านั้น ไม่เว้นแม้แต่เรื่องง่ายๆ อย่างการปรับแรงลมหรืออุณหภูมิแอร์ ซึ่งไม่ค่อยสะดวกนักเมื่อต้องขับรถไปด้วย
ส่วนเบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบปรับมือทั้งหมด ฝั่งผู้ขับขี่สามารถปรับได้ 6 ทิศทาง (ปรับสูง-ต่ำได้) และฝั่งผู้โดยสารปรับได้ 4 ทิศทาง ปีกเบาะให้ความโอบกระชับกำลังดี ไม่อึดอัด หุ้มด้วยวัสดุหนังสังเคราะห์และผ้า
ขณะที่พวงมาลัยแบบ 2 ก้าน ถูกยกชุดมาจาก MG4 หุ้มด้วยวัสดุหนัง มีความหนากระชับมือ พร้อมปุ่มควบคุมระบบความบันเทิงและจอแสดงข้อมูลการขับขี่ รวมถึงมีปุ่ม Favourite ที่สามารถตั้งค่าด้วยตัวเองได้ว่าต้องการให้เป็นฟังก์ชันอะไร
คอนโซลกลางถูกติดตั้งปุ่มเกียร์ไฟฟ้าสั่งงานด้วยระบบหมุน ใกล้กันเป็นปุ่มเบรกมือไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชัน Auto Vehicle Hold (AVH) และปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ 3 รูปแบบ คือ ECO, NORMAL และ SPORT ขณะที่การเลือกระดับการทำงานของระบบ KERS ต้องตั้งค่าผ่านหน้าจอสัมผัสเท่านั้น
ระบบความปลอดภัย MG3 Hybrid+ (แตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่นย่อย)
- ระบบเบรก ABS / EBD / EBA
- ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้งด้วยความเร็ว XDS
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS
- ระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HAS
- ระบบสัญญาณไฟแจ้งเตือน เมื่อมีการเบรกฉุกเฉิน ESS
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนพร้อมปรับองศาพวงมาลัยหากออกนอกเลน ELK โดยผสานรวมระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน LDP ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA และระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW เข้าไว้ด้วยกัน
- ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าขณะขับขี่ FCW
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ AEB
- ระบบตรวจจับพฤติกรรมการขับขี่ UDW
- ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ ICA
- ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC
- ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง TPMS
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย
- กล้องรอบคัน 360 องศา แบบ High Definition
- จุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX
- ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ
- สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง
- ระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer
- ระบบไฟส่องนำทางหลังจากดับเครื่องยนต์
เครื่องยนต์ไฮบริดถือเป็นจุดขาย
MG3 Hybrid+ ติดตั้งเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร กำลังสูงสุด 102 แรงม้า ทำงานคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร ให้กำลังสูงสุดรวม 193 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ไฟฟ้า E-AT 3 สปีด ทำอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาประมาณ 8 วินาที
อีกทั้งยังมีระบบสร้างกระแสไฟฟ้าจากการเบรกกลับไปยังแบตเตอรี่ Kinetic Energy Recovery System - KERS ปรับได้ 3 ระดับ พร้อมชูจุดขายที่สามารถขับขี่ได้ไกลกว่า 800 กม. ต่อน้ำมัน 1 ถัง
แรง ประหยัด ช่วงล่างดีเกินคาด
การทดสอบครั้งนี้เราขับรถมุ่งหน้าจากตัวเมือง จ.เชียงใหม่ กลับสู่กรุงเทพมหานคร ซึ่งสาเหตุที่เราต้องขับรถไกลขนาดนี้ ไม่เพียงแต่เพื่อให้เห็นประสิทธิภาพของ MG3 Hybrid+ กันอย่างเต็มที่เท่านั้น แต่เพื่อเป็นการวัดอัตราสิ้นเปลืองบนพื้นฐานของการใช้งานจริงอีกด้วย
ระบบไฮบริดของ MG3 Hybrid+ ถือเป็นระบบ Full-hybrid เต็มรูปแบบ โดยทันทีที่กดปุ่มสตาร์ท เครื่องยนต์จะยังคงดับอยู่ เมื่อเคลื่อนตัวออกจากจุดสตาร์ทก็จะใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ป้อนให้กับมอเตอร์ไฟฟ้า ทำให้รถเคลื่อนที่ได้อย่างเงียบเชียบ
เมื่อรถเริ่มออกถนน ทันทีที่กดคันเร่งปุ๊ป เครื่องยนต์ก็จะติดขึ้นเพื่อสร้างพละกำลังให้รถพุ่งไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งต้องยอมรับว่าอัตราเร่งทำได้ค่อนข้างดีทีเดียว แม้ว่าพละกำลังรวม 194 แรงม้า กับตัวถังแบบ 5 ประตูขนาดเล็กแบบนี้ เราคาดหวังว่าน่าจะต้องพุ่งไวกว่านี้สักหน่อย แต่โดยรวมถือว่าเป็นรถที่มีกำลังแรงคันหนึ่งทีเดียว
หากผู้ขับขี่ประคองคันเร่งเพิ่มความเร็วแบบค่อยเป็นค่อยไป บวกกับมีปริมาณแบตเตอรี่คงเหลืออยู่พอประมาณ ตัวรถจะสามารถเร่งความเร็วด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวมากกว่า 80 กม./ชม. ขึ้นไป บางจังหวะอาจเกิน 100 กม./ชม. ไปเลยก็มี จนแอบเผลอลืมตัวว่ากำลังขับรถไฮบริด ไม่ใช่รถไฟฟ้าแต่อย่างใด
การตัดต่อกำลังระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ทำได้ค่อนข้างดีเช่นเดียวกัน บางครั้งแทบไม่ทราบเลยด้วยซ้ำว่าเครื่องยนต์ติดขึ้นหรือยัง ต้องอาศัยการแสดงผลระบบไฮบริดบนหน้าจอเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องยนต์กำลังทำงานอยู่หรือไม่... แต่! หากว่าเครื่องยนต์ติดขึ้นในขณะรถหยุดนิ่งแล้วล่ะก็ เสียงของเครื่องยนต์จะแทรกเข้ามายังห้องโดยสารอยู่พอสมควร
ส่วนเกียร์ไฟฟ้า E-AT 3 สปีด มีไว้เพื่อทดรอบเครื่องยนต์ให้ต่ำลง จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการสร้างไฟฟ้าป้อนให้กับมอเตอร์หรือกลับไปเก็บยังแบตเตอรี่ ซึ่งการตัดต่อกำลังแต่ละสปีดก็ถือว่าเนียนใช้ได้ เพราะแทบจะแยกไม่ออกเลยด้วยซ้ำว่ามีการเปลี่ยนอัตราทดเกียร์ไปแล้วหรือยัง
อีกหนึ่งจุดเด่นของ MG Hybrid+ ที่ไม่พูดก็คงไม่ได้นั่นก็คือ ช่วงล่างที่สามารถตอบสนองได้อย่างน่าทึ่ง การซับแรงสะเทือนทำได้ค่อนข้างดี ขณะเดียวกันก็สามารถควบคุมอาการโคลงของรถได้อยู่หมัด จนแทบไม่อยากเชื่อว่าเรากำลังขับรถในกลุ่ม B-segment กันอยู่
กลายเป็นว่าตลอดระยะทางกว่า 677 กม. จากเชียงใหม่ - กรุงเทพฯ ผมสามารถขับรถคันนี้ได้แบบไม่เหนื่อย ด้วยพละกำลังเครื่องยนต์ที่พร้อมรอให้เรียกตลอด และช่วงล่างที่ทำได้ดีราวกับขับรถขนาดใหญ่ ทำให้ MG3 Hybrid+ สามารถขับไปไหนต่อไหนได้อย่างสบาย ไม่ต้องเน้นว่าเป็นรถ B-segment แล้วจะต้องขับในเมืองเพียงอย่างเดียว
สำหรับอัตราสิ้นเปลืองนั้น ผมสามารถทำตัวเลขอยู่ที่ 21.7 กม./ลิตร ซึ่งต้องบอกว่าเป็นการใช้งานจริงด้วยความเร็วต่อเนื่องประมาณ 100-110 กม./ชม. แม้ว่าจะด้อยกว่าที่คาดไปสักหน่อย แต่ก็ถือว่าประหยัดได้โดยไม่ต้องพยายามใดๆ ทั้งสิ้น
นอกจากนี้ ในขบวนยังมีรถ MG3 Hybrid+ ที่ใช้เพื่อทดสอบหาอัตราสิ้นเปลืองแบบจริงจังอีก 2 คัน โดยทั้งคู่สามารถทำอัตราสิ้นเปลืองได้ถึง 26.3 กม./ลิตร และยังเดินทางเป็นระยะทางไกลถึง 970 กม. ด้วยน้ำมันเพียงถังเดียว (ถังน้ำมันขนาดแค่ 36 ลิตรเท่านั้นเอง)
สรุปแล้ว MG3 Hybrid+ ถือเป็นรถที่มีความน่าสนใจอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะมีดีไซน์ที่ออกแบบมาลงตัวกว่ารุ่นก่อนหน้า ยังมีออปชันให้มาเพียงพอต่อการใช้งานของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ รวมถึงระบบไฮบริดที่ทั้งแรงและประหยัด และช่วงล่างที่ทำได้ดีเกินคาดไปมาก
ทีนี้ก็เหลือเพียงแต่เรื่องของราคาจำหน่ายที่จะถูกประกาศอีกครั้งในเดือนสิงหาคม 2567 นี้ หากว่าเปิดราคามาอย่างเหมาะสมในช่วงสัก 5-6 แสนบาทแล้วล่ะก็ บอกเลยว่า MG3 Hybrid+ เป็นตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาดครับ