5 เหตุผลว่าทำไมไม่ควรเปลี่ยนเป็น EV ถ้ารถคันเดิมยังใช้ดีอยู่
แม้ว่าการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV จะดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่าย แต่หากมองในระยะยาวอาจไม่คุ้มค่าเสมอไป บทความนี้ Sanook Auto จะเผย 5 เหตุผลว่าทำไมถึงไม่ควรเปลี่ยนเป็นรถ EV ถ้ารถคันเดิมยังใช้ได้ดีอยู่
5 เหตุผลว่าทำไมไม่ควรเปลี่ยนเป็น EV ถ้าคันเดิมยังใช้งานได้ดี
1. ลดค่าน้ำมัน แต่เพิ่มค่างวด - กรณีที่รถน้ำมันคันเดิมผ่อนหมดแล้ว การเปลี่ยนไปใช้รถ EV เท่ากับว่าจะมีหนี้เพิ่มขึ้นมาอีกก้อนหนึ่ง หากยังคงใช้รถน้ำมันคันเดิมอาจต้องจ่ายค่าน้ำมันเดือนละ 5,000 - 6,000 บาท แต่ถ้าหันไปใช้รถ EV จะต้องมีภาระต่อเดือนอีก 7,000 - 8,000 บาทเป็นอย่างน้อย แถมยังเป็นภาระผูกพันไปอย่างน้อยๆ 4 - 5 ปี หรือมากกว่านั้น
2. ค่าประกันแพงกว่า - รถยนต์ไฟฟ้ามีข้อกังวลในเรื่องของราคาแบตเตอรี่หากเกิดความเสียหายหรือชำรุด บริษัทประกันจึงเรียกเก็บค่าเบี้ยประกันรถยนต์ไฟฟ้าสูงกว่ารถน้ำมันทั่วไป ยกตัวอย่างรถไฟฟ้ารุ่น A อาจมีค่าเบี้ยประกันชั้น 1 ที่ประมาณ 25,000 บาท เทียบกับรถน้ำมันในเซกเมนต์เดียวกันอาจมีค่าเบี้ยเพียง 15,000 บาทเท่านั้น
3. เกิดภาระหนี้โดยไม่จำเป็น - หากว่ารถน้ำมันคันเดิมผ่อนหมดแล้ว การเปลี่ยนไปซื้อรถ EV ก็จะเกิดหนี้ผูกพันไปอีกนานหลายปี ช่วงระหว่างนี้หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน จำเป็นต้องออกจากงาน หรือธุรกิจไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ ก็จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการถูกยึดรถและเกิดหนี้เสียได้
4. ขายต่อยาก - ไม่ว่าจะรถน้ำมันหรือรถไฟฟ้าต่างก็ราคาตกด้วยกันทั้งนั้น แต่ราคาของรถน้ำมันยังเป็นไปตามสภาวะของตลาดรถมือสอง เทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าที่เต็นท์แทบไม่รับซื้อ เพราะแม้แต่ราคารถป้ายแดงเองยังไม่นิ่ง ทำให้ราคาขายต่อของรถไฟฟ้าตกฮวบเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังหาไฟแนนซ์จัดรถไฟฟ้ามือสองได้ยากกว่ารถน้ำมันอีกด้วย
5. เทคโนโลยียังคงพัฒนา - เทคโนโลยีของรถยนต์ไฟฟ้ายังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ ระยะทางในการขับขี่ และฟังก์ชันการใช้งานต่างๆ การรอสักระยะหนึ่งเพื่อให้เทคโนโลยีพัฒนาไปอีกขั้น อาจทำให้คุณได้รถยนต์ไฟฟ้าที่มีสมรรถนะที่ดีขึ้นกว่านี้ในราคาที่ถูกลง
ดังนั้น การเปลี่ยนจากรถคันเดิมที่ผ่อนหมดแล้ว ไปเป็นรถ EV คันใหม่ เพื่อหวังที่จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมัน อาจไม่ได้ประหยัดขึ้นจริงเสมอไป จึงควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจครับ