ข้อดีของการเคลือบแก้ว เคลือบเซรามิก คืออะไร?

การเคลือบแก้วและเคลือบเซรามิกเป็นเทคโนโลยีการดูแลรักษาสีรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน เนื่องจากช่วยปกป้องสีรถให้เงางาม ทนทาน และทำความสะอาดง่าย แต่หลายคนอาจยังสงสัยว่าการเคลือบแก้วและเคลือบเซรามิกคืออะไร และมีข้อดีอย่างไร บทความนี้ Sanook Auto จะมาไขคำตอบกัน
เคลือบแก้วคืออะไร?
การเคลือบแก้วคือการเคลือบสารซิลิกา (Silica) หรือซิลิกอนไดออกไซด์ (Silicon Dioxide) ลงบนสีรถยนต์ สารเคลือบแก้วจะสร้างชั้นฟิล์มบางๆ ที่มีความแข็งแรงและทนทาน ช่วยปกป้องสีรถจากรอยขีดข่วน คราบสกปรก และแสงแดด
เคลือบเซรามิกคืออะไร?
การเคลือบเซรามิกคือการเคลือบสารซิลิคอนคาร์ไบด์ (Silicon Carbide) หรือสารอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติคล้ายเซรามิก ลงบนสีรถยนต์ สารเคลือบเซรามิกจะสร้างชั้นฟิล์มที่หนาและแข็งแรงกว่าการเคลือบแก้ว ช่วยปกป้องสีรถได้ดียิ่งขึ้น และให้ความเงางามที่มากกว่า
3 ข้อดีของการเคลือบแก้ว-เซรามิก
- เพิ่มความเงางาม - การเคลือบแก้วจะช่วยเพิ่มความเงางามให้กับสีรถ ทำให้รถดูใหม่และมีมิติมากขึ้น
- ฝุ่นเกาะน้อยลง - ชั้นฟิล์มที่เกิดจากการเคลือบแก้วจะช่วยลดการเกาะตัวของฝุ่นและคราบสกปรก ทำให้รถดูสะอาดอยู่เสมอ
- ล้างรถง่าย - การเคลือบแก้วจะทำให้ผิวรถลื่น ทำให้สิ่งสกปรกหลุดออกได้ง่าย การล้างรถจึงทำได้ง่ายขึ้น และในบางครั้งอาจไม่จำเป็นต้องใช้แชมพูล้างรถก็สามารถล้างได้สะอาดเงางาม
อย่างไรก็ตาม การเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิกต้องใช้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์สูง หากช่างไม่มีความชำนาญ อาจทำให้เกิดปัญหา เช่น คราบน้ำ รอยด่าง หรือชั้นเคลือบไม่สม่ำเสมอ ก่อนเคลือบจะต้องเตรียมพื้นผิวรถให้สะอาดและเรียบเนียน หากเตรียมพื้นผิวไม่ดี อาจทำให้ชั้นเคลือบไม่ยึดเกาะกับสีรถ และเกิดปัญหาในภายหลัง
แม้ว่าการเคลือบแก้วและเคลือบเซรามิกจะช่วยปกป้องสีรถ แต่ก็ยังต้องดูแลรักษาอย่างเหมาะสม เช่น ล้างรถด้วยน้ำยาที่มีค่า pH เป็นกลาง และหลีกเลี่ยงการใช้แปรงหรือผ้าที่แข็งกระด้าง
ทั้งนี้ การเคลือบแก้วและเคลือบเซรามิกเป็นสองทางเลือกที่ดีในการดูแลรักษาสีรถยนต์ ทั้งสองแบบมีข้อดีที่แตกต่างกัน การเลือกแบบใดขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณของผู้ใช้รถ หากต้องการความเงางามในราคาที่ย่อมเยา การเคลือบแก้วเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ แต่หากต้องการการปกป้องสีรถที่เหนือกว่าและความเงางามที่ยาวนาน การเคลือบเซรามิกเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า