เอาใจวัยโจ๋อีกครั้ง ด้วยมาสด้า 2 ซูม ซูม

เอาใจวัยโจ๋อีกครั้ง ด้วยมาสด้า 2 ซูม ซูม

เอาใจวัยโจ๋อีกครั้ง ด้วยมาสด้า 2 ซูม ซูม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา สำหรับมาสด้า 2 รถเล็กพริกขี้หนูของค่ายที่จะเป็นตัวทีเด็ดกอบโกยยอดขายให้เป็นกอบเป็นกำ จากสมรรถนะและความสดใหม่

มาสด้า 2 นั้น ถือว่าเป็นรถซิตี้คาร์ที่ถูกออกแบบภายใต้ปรัชญา “ความโดดเด่นและพลังแห่งการเคลื่อนไหว” โดยรับการถ่ายทอดเชื้อสายความเป็นสปอร์ตมาจากเหล่าบรรดารุ่นพี่อย่าง RX-8, MX-5 และมาสด้า 3 และการออกแบบได้เน้นเส้นสายและอารมณ์ของความเป็นสปอร์ตทั้งแต่หัวจดท้าย ซึ่งมีรางวัล “รถยนต์ยอดเยี่ยมของโลก ปี 2008” และยังเป็น 1 ใน 3 ของรถยนต์ที่เข้ารอบสุดท้ายของการมอบรางวัลการออกแบบยนตรกรรมยอดเยี่ยมของ โลกในปีเดียวกันด้วย

โดยรถที่เราได้นำมาทดสอบในครั้งนี้จะเป็นรถมาสด้า 2 รุ่น Groove Sport AT ที่เป็นตัวธรรมดา เกียร์ออโต้ และ Maxx Sport AT ซึ่งเป็นรุ่นตัวท็อปแบบฟูลออปชั่น ลองมาเดินสำรวจรอบ ๆ ตัวรถกันก่อน สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างรถสองคันนี้ที่เห็นชัดเจนได้จากด้านนอกนั้นก็คือ เครื่องทรงแบบสปอร์ต ทั้งกันชนหน้า กันชนหลัง สปอยเลอร์หลังคา และสเกิร์ตข้างที่เป็นแบบสปอร์ตทั้งหมด ในส่วนของล้อก็ต่างกัน โดยตัวท็อปจะเป็นล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว พร้อมยางขนาด 195/45R16 ส่วนตัวธรรมดาจะเป็นล้อกระทะเหล็ก พร้อมฝาครอบขนาด 15 นิ้ว ซึ่งจะรัดด้วยยางขนาด 185/55R15

ส่วนภายในนั้น ภาพหลักโดยรวมก็เหมือน ๆ กัน แต่สิ่งที่แตกต่างนั้นคือ พวกอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้น อย่าง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน กุญแจรีโมตอัจฉริยะ ระบบสตาร์ทแบบไม่ต้องใช้กุญแจ และบนแผงหน้าปัด ถึงแม้จะเหมือนกัน แต่สิ่งที่ขาดหายไปจากรุ่นที่ต่ำกว่านั่นก็คือ จอแสดงอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงพร้อมข้อมูลในการขับขี่ ส่วนพวงมาลัยในรุ่นตัวท็อปก็จะมีการหุ้มหนังให้ดูหรูหรามีระดับกว่า

เนื้อที่ภายในห้องโดยสารนั้น ถือว่าพออาศัยไหว้วานได้ ในด้านหน้า ที่นั่งไม่มีปัญหา ส่วนในด้านหลังนั้น ถ้ามีผู้โดยสารหลายคนหรือผู้ร่วมโดยสารมีขนาดร่างกายไซส์ใหญ่มานั่ง ก็ถือว่าพอไหว แต่ก็ไม่ถือว่ากว้างขวางสักเท่าไหร่ ถ้านั่งแบบไม่เกิน 2+2 นั้น ถือว่าไม่ลำบาก แต่ถ้ามีจำนวนสมาชิกมาเพิ่ม ก็คงต้องเบียดกันสักหน่อยแล้ว ส่วนพื้นที่เก็บของด้านท้ายนั้น มีเนื้อที่มาให้ไม่มากไม่เหมาะกับคนที่สมบัติเยอะ แล้วอยากจะยัดทุกสิ่งอย่างเข้ามาในรถ

แต่มองอีกมุมก็ถือว่าเป็นการจำกัดน้ำหนักรถไปในตัว เพราะคุณเจ้าของรถควรจะต้องคิดแล้วว่าจะนำอะไรเข้ามาใส่รถตามที่จำเป็นจริง ๆ เท่านั้น คิดอีกแง่ว่า ถ้ารถไม่หนักก็ทำให้ไม่สิ้นเปลืองน้ำมัน แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปจากห้องโดยสารที่แม้จะเป็นส่วนเล็ก ๆ แต่ก็ถือว่าเป็นส่วนที่ให้ความสะดวกอย่างมากแก่ท่านเจ้าของรถ นั่นก็คือ มือจับที่ด้านหลัง ซึ่งมือจับนี้ ผู้ใช้รถส่วนมากจะใช้เป็นที่แขวนเสื้อผ้า แล้วมือจับด้านหลังก็หายไป แล้วทีนี้จะเอาอะไรไว้แขวนเสื้อล่ะเนี่ย ยิ่งกลุ่มคนใช้รถมาสด้า 2 นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นวัยรุ่น หนุ่มสาววัยทำงาน ที่จะต้องใช้ประโยชน์จากมือจับทางด้านหลังอยู่เป็นประจำ แล้วแบบนี้ถ้าต้องมีการแขวนสูท เนคไท หรือเสื้อผ้าที่จะต้องนำมาเปลี่ยน จะทำยังไงดี ?? รถก็ไซส์เล็ก เนื้อที่จำกัด ที่เก็บของท้ายรถก็มีพื้นที่น้อยอยู่แล้ว แถมมาลืมใส่มือจับด้านหลังมาให้อีก งานนี้ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ทำให้วัยรุ่นมีมึนนะเนี่ย

ม้า 103 ตัว กับเกียร์ 4 สปีด ที่จี๊ดจ๊าดได้ดีพอสมควร

เครื่องยนต์ของมาสดา 2 ทั้งสองคันนั้น จะเป็นเครื่องยนต์แบบเดียวกัน โดยใช้รหัส MZR ขนาด 1.5 ลิตร (1,498 ซี.ซี.) ฝาสูบเป็นแบบดับเบิลโอเวอร์เฮด แคมชาฟท์ (DOHC) 4 สูบ 16 วาล์ว ที่มาพร้อมกับระบบเปิด-ปิด วาล์วแปรผันอิเล็กทรอนิกส์แบบ S-VT (Sequential Valve Timing System) และระบบ TSCV (Tumble Swirl Control Valve) ที่ช่วยควบคุมการไหลของไอดีให้เป็นไปอย่างเหมาะสม ซึ่งจะช่วยสร้างแรงบิดให้ต่อเนื่องตั้งแต่รอบต่ำ อีกทั้งจะทำให้เกิดการตอบสนองที่รวดเร็วฉับไว โดยเครื่องตัวนี้จะมีกำลังสูงสุดอยู่ที่ 103 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที เครื่องยนต์ตัวนี้จะเป็นเครื่องยนต์ที่ก่อมลพิษต่ำจนได้ค่ามาตรฐานไอเสีย ระดับยูโรโฟร์ (Euro 4) สามารถรองรับน้ำมันเชื้อเพลิง E20 ได้อย่างไร้ปัญหา ส่วนระบบเกียร์ที่ใช้นั้น จะเป็นเกียร์อัตโนมัติแบบ 4 จังหวะ

การใช้งานในเมืองถือว่าปราดเปรียวและคล่องตัวสูง แต่ถ้าอยากจี๊ดจ๊าด ปรู๊ดปร๊าด ก็ต้องอาศัยการกดคันเร่งลึก ๆ แล้วจะพบว่าเจ้าตัวเล็กคันนี้วิ่งได้จี๊ดไม่เบา แต่ถ้าเท้าเบา กดคันเร่งไม่หนัก จะรู้สึกว่าม้าไม่ค่อยตื่นตัวสักเท่าไหร่ การใช้งานในเมืองนั้นถือว่าให้ความคล่องตัวสูง ขับสนุก เครื่องยนต์จัดจ้านพอสมควร ยามที่ต้องฝ่าการจราจรในเมือง ส่วนการใช้งานนอกเมืองก็ถือว่าขับสบาย ถ้าไม่มีผู้โดยสารร่วมเดินทางไปเยอะ

ช่วงความเร็วเดินทาง 100-120 กม./ชม. จะใช้รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ 2,700 และ 3,200 รอบต่อนาที ซึ่งถือว่าเป็นรอบเครื่องยนต์ที่ค่อนข้างสูงอยู่สักหน่อย ในเรื่องอัตราการบริโภคน้ำมันนั้น ถ้าใช้งานอยู่ในเมืองจะบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ประมาณ 10.2 กม./ลิตร แต่ถ้านำรถออกไปวิ่งทางโล่ง ๆ นอกเมืองแบบรถไม่ติด ก็จะได้ตัวเลขเฉลี่ยความสิ้นเปลืองอยู่ที่แถว ๆ 12-13 กม./ลิตร ซึ่งก็ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว สำหรับการเดินทางที่ใช้รอบเครื่องยนต์ที่ดูสูง แต่ก็ไม่ถือว่ากินน้ำมันให้ลำบากกระเป๋าสักเท่าไหร่

ช่วงล่างดีตามแบบฉบับมาสด้า

ในเรื่องของระบบกันสะเทือนนั้น ในด้านหน้าจะเป็นแบบแม็คเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ส่วนในด้านหลังจะเป็นแบบทอร์ชั่น บีม พร้อมเทรลลิ่งอาร์ม ส่วนระบบพวงมาลัยนั้นจะเป็นแบบแร็ค แอนด์ พิเนี่ยน พร้อมพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS)

การเซ็ตช่วงล่างและการกระจายน้ำหนักของมาสด้า 2 นั้น ถือว่าทำได้ดี จึงทำให้ผู้ที่กุมพวงมาลัยรู้สึกถึงความสนุกและมั่นใจในการบังคับควบคุมรถ ยิ่งบวกกับขนาดที่กะทัดรัดของตัวรถเองแล้วด้วย ทำให้เกิดความสะดวกสบายในการเปลี่ยนช่องทางการจราจร การซึมซับแรงสั่นสะเทือนของช่วงล่างนั้น ถือว่าดีในระดับรถเล็ก พวงมาลัยน้ำหนักดีและมีความเฉียบคมอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ในการขับขี่จะรู้สึกว่ามาสด้า 2 ในรุ่น Groove Sports จะให้ความนุ่มนวลมากกว่ารุ่น Maxx Sports อยู่นิดหน่อย ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากช่วงล่างที่เซ็ตให้นุ่มกว่า และอีกส่วนก็มาจากขนาดล้อและยางที่เล็กกว่าด้วย

ระบบเบรกจะเป็นแบบหน้าดิสก์ หลังดรัม ที่มาพร้อมระบบป้องกันล้อล็อก (ABS 4 Sensor) และระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ที่เหมือนกันทั้งในรุ่น Groove Sports และในรุ่น Maxx Sports แบบไม่ต้องคิดมาก สมรรถนะของระบบเบรกของมาสด้า 2 นั้น ถือว่า โอ.เค.เลยทีเดียว โดยไม่ต้องแคร์ว่าด้านหลังจะเป็นดรัมเบรกแล้วจะเบรกไม่ดี

รถของวัยหนุ่มสาวที่ นิยมใช้ชีวิตในเมือง

โดยรวมการใช้งานของมาสด้า 2 นั้น ถือว่าเป็นรถซิตี้คาร์ที่สามารถให้ความคล่องตัวในการใช้งานในเมืองได้สูง จุดเด่นของรถคันนี้ นอกเหนือจากความสดใหม่และรูปทรงที่สวยงามแล้ว ก็คือเรื่องของการบังคับควบคุมโดยมาสด้านั้นเป็นรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น ที่ขึ้นชื่อในเรื่องของระบบช่วงล่างและการเกาะถนนมาช้านานแล้ว และในมาสด้า 2 ก็เช่นกัน ยังเป็นรถที่ยังรักษาชื่อเสียงในด้านนี้ได้เป็นอย่างดี ความเฉียบคมของพวงมาลัยและคันเร่งแบบไฟฟ้านั้น ถือได้ว่าอยู่ในระดับแถวหน้าของรถในกลุ่มเดียวกัน ส่วนเรื่องสมรรถนะกำลังจากเครื่องยนต์นั้น ถ้าดูตัวเลขจากเครื่อง 1.5 ลิตร ที่มีม้าอยู่ 103 ตัว ในยุคนี้อาจจะดูแล้วรู้สึกว่าแรงม้าน้อยไปหน่อย แต่ในการใช้งานทั่วไปก็ถือว่าเพียงพอต่อความต้องการ อัตราเร่งในการออกตัวถือว่าจี๊ดจ๊าดใช้ได้ อัตราเร่งแซงในการใช้งานทั่วไปก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดีตามแบบฉบับของลักษณะรถ แต่ถ้าได้เกียร์อัตโนมัติแบบ 5 สปีดมาประจำการ ก็คงจะแสดงศักยภาพได้มากกว่านี้

ในเรื่องของระบบเบรกที่เป็นแบบหน้าดิสก์ หลังดรัมนั้น ก็มีดีพอที่จะให้ผู้ขับขี่ไว้วางใจได้การตอบสนองของแป้นเบรกที่จะถูกสั่งการโดยเท้าของผู้ขับขี่นั้น สามารถสั่งให้ชะลอความเร็ว หรือสั่งให้รถหยุดนิ่งสนิทได้โดยไม่ยาก โดยสมรรถนะของรถรุ่นตัวถูกกับตัวแพงก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันให้รู้สึก แต่ความต่างจากค่าของเงินที่จ่ายออกไปนั้น จะอยู่ที่ระบบความอำนวยความสะดวก และความไฮเทคที่มีเพิ่มเข้ามา เพราะฉะนั้น ถ้าคิดว่าอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่มีให้ในตัวแพงนั้นเกินความจำเป็นที่เราจะ ต้องใช้ ก็ซื้อตัวถูกแบบไม่ต้องควักตังค์เพิ่ม แต่ถ้าชีวิตวัยรุ่นต้องทันสมัย ไฮเทค และต้องสุด!! ก็มุ่งหน้าไปทางตัวท็อป ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการและงบประมาณในกระเป๋าของผู้จ่ายเงินเอง

โดยมาสด้า 2 นั้น จะมีการแบ่งรุ่นและราคาจำหน่ายตามนี้คือ รุ่น Groove Sport MT (รุ่น S เกียร์ธรรมดา) จะมีราคาอยู่ที่ 535,000 บาท, รุ่น Groove Sport AT (รุ่น S เกียร์ออโต้) ราคา 570,000 บาท, รุ่น Spirit Sport AT (รุ่น V ตัวกลาง) ราคา 640,000 บาท และรุ่นตัวท็อปอย่าง Maxx Sport AT (รุ่น R ตัว TOP) ราคาจะอยู่ที่ 690,000 บาท

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook