คุยกับ คริส หอวัง ภาษาอังกฤษในศิลปะการเต้นรำ

คุยกับ คริส หอวัง ภาษาอังกฤษในศิลปะการเต้นรำ

คุยกับ คริส หอวัง ภาษาอังกฤษในศิลปะการเต้นรำ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"การเต้นก็เหมือนการวาดภาพเพียงแต่เราใช้ร่างกายแทนพู่กัน ใช้ท่วงท่าลีลาสื่อสารเรื่องราว แทนภาพที่ปรากฏบนเฟรมเท่านั้น" คำพูดนี้เป็นของผู้หญิงหน้าเก๋ บุคลิกเท่ ซึ่งยอมรับว่าเธอหลงใหลในศาสตร์เต้นรำอย่างถอนตัวไม่ขึ้น เธอคือ คริส หอวัง
หลังจากที่เรียนจบจาก Aree Dance Arts School และโรงเรียนนานาชาติร่วมฤดี คริสก็บินไปศึกษาต่อที่ Walnut Hill Performance Arts High School, Boston USA และ Bachelor of Arts/Dance California Institute of Arts College LA, USA
"คริสไปศึกษาต่อต่างประเทศเพราะที่เมืองไทยไม่มีการสอนศาสตร์การเต้นรำโดยตรง คือ โรงเรียนที่คริสไปเรียนเขาจะสอนหนังสือด้วย และเป็น Performance arts ด้วย ไม่ได้สอนแค่แดนซ์อย่างเดียว แต่จะสอนดราม่า วิชวลอาร์ต กราฟิก แอนิเมชัน โอเปร่า มีทุกอย่างเลยค่ะ เจ๋งมาก มีคลาสสิคอลมิวสิคด้วยนะคะ"

เมื่อกลับมาประเทศไทย คริสเริ่มงานที่ท้าทาย นั่นคือ การเป็นครูสอนเต้นรำ ควบคู่กับการทำงานในวงการบันเทิงอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ทั้งเป็นดีเจ พิธีกร นางแบบ พรีเซ็นเตอร์สินค้า นักร้อง นักเขียน นักแสดง
           "หลังกลับจากต่างประเทศประมาณ 3-4 เดือน ก็เข้าไปเป็นครูสอนเต้นที่ International School Bangkok (ISB) ซึ่งท ให้คริสเห็นถึงความต่างระหว่างการเป็นครูผู้สอนกับการเป็นนักเรียน การเป็นนักเรียนเต้นรำ ต้องใช้ความพยายามและความอดทนในการฝึกฝน เพราะไม่มีใครเกิดมาแล้วทำ ได้เลย ส่วนเป็นครูต้องพยายามทำ ความเข้าใจความแตกต่างของเด็กแต่ละคน บางคนเขาพยายามมากแต่ร่างกายเขาไม่เอื้ออำนวย ผิดกับเด็กอีกคนที่ไม่ต้องใช้ความพยายามเลยแต่ร่างกายและกล้ามเนื้อของเขาเอื้ออำ นวยต่อการเต้นรำทำให้เราต้องคิดค่ะว่าถ้าเราต้องให้คะแนนเด็กสองคนนี้ เราจะให้คะแนนคนไหนมากกว่า บางคนสมองรับรู้เร็ว บางคนรับรู้ช้า อีกอย่างการเป็นครูต้องทำการบ้านเพื่อไปสอน ต้องคิดเยอะว่าจะทำอย่างไรให้เด็กทุกประเภทซึมซับสิ่งที่เราสอนได้เท่าๆ กัน ต้องเอาความรู้ที่เราเรียนรู้และฝึกฝนมากกว่า 20ปี มาหั่นๆ และคิดอีกทีหนึ่ง เพื่อนำไปสอน นั่นเป็นความยากและท้าทายอย่างหนึ่งของการเป็นครูสอนเต้นค่ะ"

การเรียนเต้นรำมีอะไรมากกว่าแค่การเต้น
          "ศาสตร์การเต้นรำมีศัพท์แสงที่ต้องจำเยอะเหมือนกัน เพราะเราต้องเรียนลึกซึ้ง ต้องเข้าใจถึงร่างกายว่ามีกล้ามเนื้อกี่มัด กระดูกกี่ข้อ เหมือนเรียนวิทยาศาสตร์เลย หรือตอนเรียนระดับมหาวิทยาลัยเราก็ไม่ได้เรียนเต้นแค่ปฎิบัติอย่างเดียว แต่เรียนวิชาการเยอะมากเหมือนกัน เช่น ถ้าเกิดล้มขึ้นมาจะมีวิธีปฐมพยาบาลอย่างไร กระดูกของเรามีกี่ข้อแล้วทำไมมันถึงเอียงไปด้านนั้นด้านนี้ กล้ามเนื้อเวลาฝึกฝนกับท่าแบบนี้แล้วกล้ามเนื้อจะขึ้นมาในเส้นแบบไหน อันนี้คือด้านวิชาการ นอกนั้นก็ยังมีด้านครีเอทีฟด้วย เช่น เมื่อเรียนแล้ว ผู้สอนเขาไม่ได้ต้องการให้เราเต้นออกมาจากแค่ที่เห็นในตำราอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ได้ต้องการให้เราแค่รู้ว่าแบบฉบับคืออะไร แต่อยากให้เราครีเอทให้เป็นด้วย ยกตัวอย่างเช่น ให้โจทย์มาว่า ต้นไม้สีเขียวแต่มีหิมะตก ให้มาแค่นี้จริงๆ ค่ะ แล้วก็ให้เราไปหาเพลงมาคิดท่ามา เพื่อให้สื่อถึงโจทย์ที่บอกได้ คริสว่าความสนุกอยู่ตรงนี้ด้วยค่ะ มันเหมือนการวาดรูป แต่นี่คือการวาดรูปด้วยร่างกาย เราใช้ร่างกายแทนพู่กันใช้ท่วงท่าลีลาสื่อสารเรื่องราวแทนภาพที่ปรากฏบนเฟรม เราจะทำอย่างไรให้คนดูแล้วเข้าใจได้ นั่นเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง แต่ก็สนุกมากด้วยนะคะ"

โอกาสที่ได้ไปศึกษาในต่างแดนไม่เพียงได้ความรู้แต่ยังให้ประสบการณ์ที่ดีกับชีวิต
          "อย่างที่บอกตอนต้นว่าคริสไปศึกษาต่างประเทศเพราะว่า ในเมืองไทยไม่มีการสอนศิลปะการเต้นรำโดยตรง ซึ่งก็ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากสำหรับคริส เพราะคริสได้ประสบการณ์มากมายได้รู้จักความรับผิดชอบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คริสอยากบอกว่าไม่ต้องไปไกลถึงต่างประเทศก็ได้ แค่คุณได้มีโอกาสเรียนโรงเรียนประจำ แค่คุณไปเรียนไกลบ้าน จะจากต่างจังหวัดไปเรียนกรุงเทพฯ หรือจากกรุงเทพฯ ไปเรียนต่างจังหวัด นั่นเท่ากับว่าคุณได้โอกาสที่จะเรียนรู้และรู้จักความรับผิดชอบด้วยตัวของตัวเอง ไม่มีคุณพ่อคุณแม่มาคอยบอกคอยเตือนเลยค่ะว่า ทำไมยังไม่ทำการบ้าน ทำไมการบ้านยังไม่เสร็จ เข้านอนได้แล้ว ปิดทีวีได้แล้ว สิ่งเหล่านี้ต้องคิดเองทำเอง แล้วความรับผิดชอบที่เราได้รับจากโอกาสนี้ จะส่งผลเมื่อเราโตขึ้น เมื่อเราทำงานเราจะมีความรับผิดชอบต่องาน ต่อสิ่งต่างๆ ที่เราทำเพราะเราถูกฝึกฝนมาตั้งแต่ตอนเรียนแล้ว
            "สำหรับคนที่อยากเรียนรู้ศาสตร์การเต้นรำแต่ไม่มีโอกาสไปเรียนในต่างประเทศ คริสขอแนะนำ ให้เรียนด้วยตัวเองก็ได้ ทั้งจากการดูดีวีดี หรือสื่อที่มีในประเทศไทย หรือเรียนในสถาบันที่เขาสอนด้านนี้ และจริงอยู่ว่า ความสามารถด้านภาษาต่างประเทศอาจไม่เกี่ยวกับทักษะการเต้นรำโดยตรงแต่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า การมีความรู้ด้านภาษาต่างประเทศ ก็น่าจะทำให้เรารับสารเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นเรียนรู้ได้กว้างขึ้น แล้วคริสว่า ไม่เฉพาะกับศาสตร์การเต้นรำเท่านั้นที่ใช้ความสามารถด้านภาษาต่างประเทศในการต่อยอดความรู้ได้ คริสว่าถ้าคุณมีโอกาสก็เรียนไปเถอะภาษาต่างประเทศน่ะ คริสไม่ได้หมายถึงแค่ภาษาอังกฤษนะคะ ภาษาที่สองถ้าคุณมีโอกาสก็เรียนเถอะ เพราะมันมีประโยชน์หลายด้านอยู่แล้ว คริสเคยได้ยินคนพูดว่าดูซีรี่ส์เกาหลีแล้วไม่ได้อะไร คริสว่าไม่จริง เพราะคริสเคยเห็นมาแล้วว่าคนที่ติดซีรี่ส์เกาหลีมากๆ และดูบ่อย เขาจะชินกับภาษาจนเริ่มฟังได้และเข้าใจ คริสว่ามันเป็นการเรียนรู้ไปในตัว อันนี้ต้องยอมรับเลยนะคะว่า คนเกาหลีเองก็เก่งในการโปรโมต เขาสามารถทำให้คนเรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมของเขาผ่านซีรี่ส์ได้แบบไม่รู้ตัวเลย ฉะนั้น ภาษาอังกฤษก็เหมือนกันเรียนรู้ไว้เถอะ เรียนรู้ในรูปแบบไหนก็ได้ ดูหนัง ฟังเพลงได้ประโยชน์กับตัวเองหลายด้าน แล้วมันก็เป็นภาษาสากลที่ทุกคนใช้อยู่แล้ว
            "ทีนี้กลับมาที่องค์ประกอบหลักหรือพื้นฐานของคนที่จะเรียนศิลปะการเต้นรำได้ดี คือ ถ้าเรียนบัลเล่ต์ คริสอยากแนะนำว่าควรเริ่มเรียนเร็วหน่อยเริ่มตั้งแต่ยังเด็กๆ เพราะว่าบัลเล่ต์มันจะเกี่ยวข้องกับความยืดหยุ่นของร่างกาย การสร้างกล้ามเนื้ออะไรพวกนี้ค่ะ เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ก็เรียนบัลเล่ต์กันนะคะ แต่ก็เลิกประปรายไปทีละคน นั่นเป็นเพราะศาสตร์นี้ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนตัวด้วย ฉะนั้นคริสว่า ในการเรียนเต้นรำและทำให้ได้ดีจริงๆ องค์ประกอบหลักคงไม่มีอะไรมากไปกว่าใจรัก"

            ถ้าคุณรักสิ่งใดแล้ว จะเก่งหรือไม่เก่ง สุดท้ายจะประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็คงไม่สำคัญไปกว่าความสุขที่คุณจะได้รับเมื่อได้ลงมือทำสิ่งนั้น

คอลัมน์ Interview
เรียบเรียงโดย กญญาณ์ มาเปี่ยม (I Get English Magazine)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook