ค่าเรียนแพง 3 เท่า นักเรียนอังกฤษเมินเข้ามหาวิทยาลัย

นักเรียนในอังกฤษที่ยื่นใบสมัครเข้าศึกษาต่อในระดับอุมดมศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยในประเทศ มีปริมาณลดลงอย่างน่าใจหายในปีการศึกษานี้ ในบางพื้นที่สัดส่วนของการลดลงมีมากถึง 1 ใน 4 ของปริมาณนักเรียนที่เคยยื่นใบสมัครเมื่อปีก่อนหน้านี้

ทั้งนี้ตามรายงานของนิตยสาร ดิ ออบเซอร์เวอร์ ระบุว่า พื้นที่ที่กระทบหนักหนาสาหัสที่สุดก็คือ ย่าน นอร์ธ ไทน์ไซด์ ที่ปริมาณการยื่นใบสมัครลดลงมากถึง 23 เปอร์เซ็นต์ หรือในแถบวิทนีย์ ทางเวสต์ ออกซฟอร์ดเชียร์ ซึ่งเป็นพื้นที่ในเขตเลือกตั้งของนายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน เองก็ลดลงถึง 18 เปอร์เซ็นต์ โดยมีผู้ยื่นใบสมัครเพียง 3,353 ราย เทียบกับ 4,088 ราย เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา ทำนองเดียวกับย่านแทตตัน ในเขตเชเชียร์ ที่ลดลง 16 เปอร์เซ็นต์ เหลือเพียง 3,314 คน จากที่เคยมีอยู่เดิม 3,958 คน

สำนักงานเพื่อการศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยของอังกฤษเองก็ออกมายอมรับในเรื่องนี้ และจากการตรวจสอบตัวเลขเปรียบเทียบ พบว่า ในเขตที่ที่เป็นย่านของชนชั้นกลาง หรือในย่านที่พักอาศัยของคนที่มีฐานะดี กลับมีสัดส่วนของการปฏิเสธการเรียนต่อมหาวิทยาลัยสูงกว่าในเขตที่เป็นย่านของคนยากจน

ปรากฏการณ์ "เมิน" มหาวิทยาลัยครั้งนี้มีสาเหตุสำคัญมาจากการที่ทางการอังกฤษตัดสินใจปรับขึ้นค่าเล่าเรียนในระดับอุดมศึกษารวดเดียวเกือบ 3 เท่าตัวในปีนี้ ทำให้ค่าเล่าเรียนรวมต่อปี ปรับสูงขึ้นเป็น 9,000 ปอนด์ (ราว 450,000 บาท) ส่งผลให้ชนชั้นกลางส่วนใหญ่เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการเรียนระดับอุดมศึกษาสูงเกินกว่าที่ครอบครัวจะรองรับได้ในภาวะเศรษฐกิจที่กำลังย่ำแย่อย่างเช่นในเวลานี้

ส่วนเหตุผลที่พื้นที่ที่เป็นย่านของชนชั้นกลางระดับล่างลงมาจนถึงระดับยากจนในอังกฤษ กลับมีปัญหานี้น้อยกว่านั้น เป็นเพราะชนชั้นกลางระดับสูงและคนที่มีสถานะร่ำรวย ไม่ได้สิทธิพิเศษจากโครงการให้ความช่วยเหลือพิเศษของทางการ อย่างเช่น โครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพื่อการดำรงชีพ หรือโครงการยกเว้นค่าเล่าเรียน เป็นต้น

นักศึกษาในมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็ได้รับผลกระทบจากการปรับค่าเล่าเรียนในครั้งนี้ และกำลังเตรียมแผนเดินขบวนประท้วงอีกครั้งในอีกไม่ช้าไม่นาน

การศึกษา คอลัมน์ รู้แล้วบอกต่อ มติชน