อยากเก่งภาษาอังกฤษต้องกล้าและห้ามอาย ยิปโซ-รมิตา มหาพฤกษ์พงศ์

อยากเก่งภาษาอังกฤษต้องกล้าและห้ามอาย ยิปโซ-รมิตา มหาพฤกษ์พงศ์

อยากเก่งภาษาอังกฤษต้องกล้าและห้ามอาย ยิปโซ-รมิตา มหาพฤกษ์พงศ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

          เมื่อนึกถึงกลุ่มนักแสดงรุ่นใหม่ที่กำลังเป็นที่จับตามองในบ้านเรา เชื่อว่าหนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของยิปโซ-รมิตา มหาพฤกษ์พงศ์รวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ยิปโซเริ่มเป็นที่รู้จักจากรายการ "Strawberry Cheesecake" ในฐานะพิธีกรวัยใสที่มีความสามารถด้านภาษาอังกฤษ และมาโด่งดังสุดๆ จากภาพยนตร์เรื่อง "สุดเขต สเลดเป็ด" และตอนนี้กำลังมีผลงานออกสู่สายตาผู้ชมอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นงานแสดง งานพิธีกร รวมทั้งงานดีเจในขณะที่งานกำลังไปได้ด้วยดี สาววัยเรียนอย่างยิปโซก็เดินหน้ากับการเรียนอย่างเต็มที่เช่นกันแม้จะเป็นเส้นทางที่หลายคนอาจไม่คุ้นเคยและออกจะแปลกใจอยู่ไม่น้อยเมื่อยิปโซตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัยหลังจากศึกษาไปแล้วถึง 3 ปี โดยให้เหตุผลว่านี่เป็นการเรียนที่เธอได้ค้นพบแล้วว่าเหมาะสมกับตนเองมากที่สุด

         "ยิปโซเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ตั้งแต่ตอน ป.1 จนถึง ม.2 หลังจากนั้นที่บ้านตั้งใจย้ายไปตั้งรกรากที่ต่างประเทศเพราะปะป๊าเคยทำร้านอาหารที่บอสตันกับหุ้นส่วน แล้วก็จะบินไป-กลับอยู่เสมอ ก็เลยย้ายไปประมาณ 1 ปีแต่ไม่ประสบความสำเร็จก็เลยกลับมา ช่วง 1 ปีนั้นยิปเข้าไปเรียนจริงๆ แค่เทอมเดียวเพราะช่วงก่อนนั้นต้องมีการปรับตัวก่อน พอกลับมาก็เรียนต่อที ASB (American School of Bangkok) เรียนได้ 1 ปี แต่ว่ามันไกล ก็เลยย้ายไปเรียนที่ RAIS (Ramkhamhaeng Advent International School) ซึ่งเป็นโรงเรียนอินเตอร์ที่สอนศาสนาจนจบ ม.6 จากนั้นเรียนต่อที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะ BBA (คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี หลักสูตรนานาชาติ)ตอนนี้เปลี่ยนมาเรียน Distance Learning ที่ University of London (International Program) ด้านธุรกิจค่ะ"

อะไรคือเหตุผลที่ตัดสินใจลาออกจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีหลังจากเรียนไปได้ถึง 3 ปี
          "มันเป็นการค้นพบว่า ที่เราอยู่มาปีต่อปีทุกปี มันเลยจุดที่เรียกว่าความพยายามหรือความตั้งใจไปถึงคำว่าดันทุรัง คือเราแยกออกระหว่างเหนื่อยจนไม่อยากทำ กับการทำไปเรื่อยๆ แล้วเราไม่ได้ก้าวไปข้างหน้าจริงๆ ในแง่ของความรู้ที่เลือกเรียนทางไกลเพราะเรียกได้ว่ามันเหมาะสมกับระบบชีวิตของหนูมากกว่า ไม่ได้หมายความว่าหนูส่งเสริมให้ทุกคนที่เรียนไปด้วยทำงานไปด้วยมาเรียนเหมือนหนูนะคะ แต่หนูดันมาค้นพบว่าตรงนี้เหมาะสมกว่า ด้วยธรรมชาติของการทำงานด้วย ซึ่งเราทำงานมาตั้งแต่ ม.5 ก็เรียนมาได้ตลอด อยู่ BBA มา 3 ปี ถ้าถามทำต่อไปอีกปีหนึ่งจนจบได้ไหม ก็ทำได้ แต่คงเหนื่อยจนลงไปกองแล้วได้ปริญญาความอึดมา ไม่ใช่ปริญญาความฉลาดเพราะแค่ผ่านไปได้แต่เราจำอะไรไม่ได้เลย เราเลยย้ายดีกว่า ที่นี่เหมือนเราเรียนคนเดียวค่ะ ก็ต้องตั้งระบบชีวิตตัวเองใหม่ มีวินัยกับตัวเองมากขึ้น สังคมไม่ได้อยู่แล้ว เพราะเราเรียนอยู่กับบ้าน เรียนกับคอมพิวเตอร์เป็นการเรียนแบบเนื้อหาล้วนๆ จริงๆ ที่จุฬาฯ เรียนยากเพราะเนื้อหาเยอะมาก แต่เราก็ทำได้ตราบใดที่เรามีเวลาอ่านมากพอในเวลาที่กำหนด"

เชื่อว่าหลายคนยังไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับการเรียนทางไกลหรือเรียนออนไลน์ การเรียนแบบที่ยิปโซเรียนเป็นอย่างไรบ้าง
         "พอพูดถึงการเรียนออนไลน์หลายคนจะคิดว่ามันเลื่อนลอย มันเป็นของจริงหรือเปล่า มันเป็นของจริงนะคะถ้าเราไปในที่ที่จริง เราต้องสกรีนดีๆ ว่ามหาวิทยาลัยที่ออนไลน์นี้มีจริงหรือเปล่า ปริญญาเป็นของจริงหรือเปล่า และดูง่ายๆ ที่เขามีตัวมหาวิทยาลัยที่เป็นสถานที่ตั้งอยู่จริงๆ หรือเปล่า คือมหาวิทยาลัยที่ยิปโซเข้าไปเรียนนี่เขามีสถานที่เป็นแคมปัสใหญ่มากอยู่ที่ลอนดอน เขาแค่เปิดส่วนนี้ให้เด็กต่างชาติอย่างยิปโซ และกลุ่มแม่บ้านหรือทหารที่ไม่มีเวลาไปเรียนได้เรียน จึงไม่มีการจำกัดเวลา การเรียนก็เหมือนปกติ เราต้องลงทะเบียนทุกต้นปีก่อนไปเรียนมีค่าหนังสือ แต่มันยากกว่าการเรียนปกติหน่อยตรงที่เราสอบปีละครั้ง การเรียนปกติเราสอบปีละ 4 ครั้งใช่ไหมคะ มี 2 เทอม แบ่งเป็นกลางเทอมกับปลายเทอมหมายความว่าเนื้อหาจะถูกแบ่ง ค่อยๆ สอบไป แต่การเรียนแบบออนไลน์นี้เราต้องจำได้ทั้งหมดอย่างแม่นยำเพราะเราสอบได้ครั้งเดียว แล้วปีหนึ่งเราลงเรียนกี่ตัวก็ต้องจำได้ทั้งหมด ซึ่งก็ตอนสอบมีค่าสอบด้วย แต่ต้องไปนั่งสอบนะคะไม่ใช่การสอบออนไลน์ เขาจะมีการประสานงานกันกับแต่ละประเทศที่เขาเปิดโปรแกรม อย่างที่เมืองไทยไปสอบที่
British Council ค่ะ"

มีช่องทางในการคุยกับอาจารย์ ผู้สอนไหม
          "มีค่ะ อาจจะไม่ค่อยได้คุยเท่าไรเพราะเวลาไม่ตรงกันและไม่ได้นัด แต่มันจะมีช่องทางในการเรียนรู้หลายอย่าง เช่น หนังสือที่จำเป็นต้องอ่านเราสั่งมาได้ มีห้องสมุดออนไลน์ที่มีทั้งระบบเสียง ระบบวิดีโอ ใครไม่ถนัดถือหนังสือออกนอกบ้านเขาก็มี mp3 เราจะไม่มีข้ออ้างเลยว่าเราอยู่ด้านนอกเรียนไม่ได้"

มาคุยกันเรื่องภาษาอังกฤษบ้าง ยิปโซไปอยู่ที่อเมริกาปีเดียว แต่ใช้ภาษาอังกฤษคล่องมาก
          "สมัยก่อนที่จะไปที่นั่นโดนพ่อจับไปเรียนพิเศษไปนั่งเรียนกับอาจารย์ฝรั่ง เรียนอยู่ 2-3 เดือนก่อนไปต่างประเทศ กลับมาก็เรียนโรงเรียนนานาชาติในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยอีก แต่จุดที่หนูได้ภาษาอังกฤษเลยคือตอนที่ไปอยู่ที่นั่น พอกลับมามันแย่ลงเรื่อยๆ เพราะไม่ค่อยได้พูด อย่างตอนที่เรียนนานาชาติมันเป็นปกติที่เวลาเราเจอคนไทยด้วยกันมันง่ายกว่าที่จะพูดภาษาไทย ที่ยิปโซเรียนเจอคนไทยกับเกาหลีเยอะ ซึ่งคนเกาหลีก็พูดภาษาไทยด้วยค่ะ"

ตอนที่ยังพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง ปรับตัวอย่างไร
          "เอาตัวรอดไปวันๆ ค่ะ ไม่มีเหตุการณ์อะไรเท่ๆ จะเล่าให้ฟังเลย (ยิ้ม) จริงๆ คือหนูกลัวมากตั้งแต่วันแรก เขาพูดภาษาอังกฤษใส่เราแค่คำง่ายๆ ยังสะดุ้งเลยค่ะ ก่อนไปเรียนหนูเตรียมพร้อมมากสำหรับวันแรกว่าจะพูดอะไร ตอนไหน คิดว่าคงเริ่มพูดในห้องเรียน แต่พอดีมีคนมาคุยกับหนูก่อนเวลาที่คิดไว้ค่ะคือมาทักตอนเปิดล็อกเกอร์เขาพูดประมาณ 7 ประโยคติดกัน ตอนสุดท้ายหนูรู้อย่างเดียวว่าเขาชื่ออะไร นอกนั้นไม่รู้เรื่องเลย จำไม่ได้ด้วยว่าตอบอะไรออกไปบ้างคงเป็นที่ความตื่นเต้นด้วยค่ะ ตอนแรกก็เรียนรู้ด้วยการเป็นผู้ฟังก่อนค่ะ เพราะรู้สึกว่าเรายังทำได้ไม่ดี ก็ซึมซับไปก่อน แต่ด้วยความที่หนูถูกจับไปอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องพูดภาษาอังกฤษเท่านั้น ไม่งั้นจะไม่มีใครเข้าใจ เลยให้เวลากับการซึมซับข้อมูลได้เพราะยังไงวันหนึ่งเราก็ต้องพูด
แต่ถ้าคนที่นี่จะฝึกภาษาอังกฤษหนูแนะนำอีกวิธีนะคือ พูดไปเลยเพราะไม่งั้นจะไม่มีโอกาสพูดแล้ว หนูรู้สึกว่าอยากเก่งภาษามันต้องกล้าต้องไม่อาย ถ้าอายจะไม่ได้เริ่ม"

การที่เราสื่อสารภาษาอังกฤษได้ รู้สึกว่ามีข้อได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ ไหม
          ยิปโซว่ามีส่วนนะคะ คือไม่ได้มองว่าตัวเองดีกว่าคนอนื่ แต่รู้สึกโชคดีที่เรารู้ภาษานี้ทำให้เรากลัวน้อยกว่าคนอื่น ถ้าวันหนึ่งจะมีใครเข้ามาคุยกับเราเป็นภาษาอังกฤษ อย่างน้อยเราจะกลัวน้อยกว่าคนอื่นเพราะเรารู้สึกว่าเราฟังรู้เรื่อง อีกอย่างคือเราช่วยคนอื่นได้ เราเป็นประโยชน์เช่น มีฝรั่งมาถามพนักงานแล้วเขาฟังไม่เข้าใจ เราต่อแถวอยู่ข้างหลังพอดี เราก็ช่วยแปลให้ได้ อันนี้คือสิ่งที่คิดว่าเป็นข้อดีของการรู้ภาษาอังกฤษ ซึ่งทำให้หนูรู้สึกดีใจค่ะที่หนูมีประโยชน์ต่อคนอื่นๆ

ถ้าให้นิยามตัวเองเป็นภาษาอังกฤษยิปโซคิดว่าเป็นคำไหน
          "อาจจะไม่ใช่คำเดียว แต่ขออนุญาตนิยามว่า chop and change เป็นคำพูดของฝรั่งที่หมายความว่า เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุดค่ะ"

แล้วภาษาอังกฤษล่ะคะ สำหรับยิปโซอยากให้นิยามว่าอย่างไร
          "สำหรับยิปโซภาษาอังกฤษเหมือนเป็นตัวช่วยที่ทำให้เรามีสติกเกอร์แปะตัวอยู่บนตัว คือเราเป็นเด็กธรรมดามาตลอด ทำอะไรไม่เป็น ความสามารถพิเศษไม่มี แต่พอได้เรียนภาษาอังกฤษมันกลายเป็นความสามารถพิเศษที่เราสามารถกรอกลงไปในช่องได้ คงเป็นตัวช่วยยิปโซในหลายๆ อย่างจริงๆ"

อยากบอกอะไรเพื่อนๆ ที่อาย ไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษ
         "ฝากบอกเพื่อนๆ คนที่อยากพูดเป็นแต่ก็ยังกลัวอยู่ว่าจะโดนหัวเราะ หรือคนจะมองว่าพยายามเป็นเด็กนอก หนูได้ยินอะไรอย่างนี้จากหลายคนมากอยากจะให้มองว่ามันดีแล้วที่เราพยายามจะทำให้ตัวเราเองพัฒนาขึ้นไม่ว่าจะทางไหน แล้วก็อย่างที่บอกไปค่ะ การที่เราจะฝึกฝนจนได้ทักษะอะไรมาขอให้นำมาใช้ในทางที่เป็นประโยชน์ต่อตนเองและคนอื่นๆ ไม่ใช่นำมาใช้เป็นเครื่องประดับหรือมองว่าคนอื่นเก่งน้อยกว่า การที่เราเป็นคนเก่งมันดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเปรียบเทียบกับ ใครไม่ต้องคิดมากค่ะ ตั้งใจฝึกถือว่าเป็นวิชาให้กับตัวเอง"

          แม้ว่าการค้นหาสิ่งที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุดจะต้องใช้เวลา แต่ก็คุ้มค่า เพราะไม่มีอะไรสายเกินไปสำหรับการเริ่มต้น I Get English ขอเป็นกำลังใจให้น้องยิปโซและผู้อ่านทุกท่านในการเรียน โดยเฉพาะสำหรับการเรียนภาษาอังกฤษ ถ้าค้นพบว่าชอบแล้ว ก็อย่าเสียเวลาอีกต่อไป เริ่มลงมือฝึกฝนกันได้ตั้งแต่วันนี้
          สำหรับใครที่ชอบผลงานของยิปโซสามารถติดตามผลงานของเธอได้จากรายการสาระแน รายการ Sisterday รายการอายุน้อยร้อยล้าน และคลื่น Fat Radio 98 FM ช่วง 8.00 - 10.00 วันจันทร์-ศุกร์

คอลัมน์ Interview
โดย I Get English Magazine

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook