′ต่อ′ ผู้เป็นต้นตอของ ′ไผ่′ ในวัย (ไม่) ว้าวุ่น

′ต่อ′ ผู้เป็นต้นตอของ ′ไผ่′ ในวัย (ไม่) ว้าวุ่น

′ต่อ′ ผู้เป็นต้นตอของ ′ไผ่′ ในวัย (ไม่) ว้าวุ่น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันที่นัดกัน ต่อ-ธนภพ ลีรัตนขจร มาพร้อมเสียงแหบๆ ค่าที่ตลอดทั้งวันมีคนนัดสัมภาษณ์เขาหลายราย

ก็ด้วยความที่เล่นเป็น "ไผ่" ในซีรีส์ "HORMONES วัยว้าวุ่น" เสียจนคนชอบกันไปทั่ว

"รู้สึกดีมากเลยนะครับ" หนุ่มหน้าใสวัย 19 บอก

"ตัวละครมันดาร์ก ดูรุนแรง ตอนแรกก็กลัวนิดนึงว่าสังคมจะต่อต้านหรือเปล่า"

โชคดีที่เขาว่า "ทีมเขียนบทเก่ง" เพราะพอ "มีปากจู๋มาทีเดียว" ในตอนแอบคบกับ "สไปร์ท" ใหม่ๆ ก็ทำให้ภาพแข็งๆ ของ "ไผ่" กลายเป็นมีมุมน่ารัก แล้วกลายเป็นหนึ่งในตัวละครขวัญใจคนดู

ส่วนเรื่องการแสดงของเขา เจ้าตัวว่าไม่น่ามีผลเท่าไหร่

"เล่นดีมันเป็นประเด็นรอง เพราะถ้าไม่มีบทดีๆ ไม่มีผู้กำกับเก่งๆ มันก็ไม่มีภาพที่ดูดีออกมาอยู่ดี"

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงพูดชัดว่า "ถ้าไม่ขอบคุณทีมเบื้องหลัง แล้วจะขอบคุณใคร"

ก่อนแสดงซีรีส์เรื่องนี้ ต่อซึ่งเรียนอยู่ปี 2 คณะอุตสาหกรรมเกษตร สาขาวิชาเทคโนโลยีการบรรจุและวัสดุ ม.เกษตรศาสตร์ เคยผ่านงานเดินแบบ ถ่ายโฆษณา จัดรายการวิทยุ และแสดงเอ็มวีมาบ้าง หลังคิดอยู่นาน แล้วตอบรับกับโมเดลลิ่งแห่งหนึ่ง

"เมื่อก่อนมีคนติดต่อมาเยอะมาก แต่ผมกลัวเขาจะเอาไปถ่ายนู้ด" ต่อเล่าพลางหัวเราะขำ

อย่างไรก็ตาม ถึงจะกลัว หากก็อยาก อยากทั้งๆ พื้นฐานเป็นคนขี้อาย ชนิดแค่จะเดินผ่านผู้หญิงที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มยังเขิน

"ผมเลยถามแฟน" แฟนที่ไม่เห็นความจำเป็นต้องปกปิด ว่าจะไปดีหรือไม่ไปดี ได้รับคำตอบแล้วก็ยังถามซ้ำ ย้ำไปมา กว่าจะยอมรับคำเชียร์ "ลองไปดู"

เล่าอีกว่า แม้จะทำมาหลายอย่างดังว่า แต่การแสดงแบบจริงๆ จังๆ ก็เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยคิดถึง กระทั่งผู้กำกับ ย้ง-ทรงยศ สุขมากอนันต์ มาทาบทาม แล้วก็ถูกเลือก

ซึ่งถ้าให้เดาเขาว่า เหตุผลไม่น่าจะเป็นเพราะเล่นดี แต่คงเป็นที่ประวัติ

"พี่ยังฟังชีวิตผมแล้วชอบ ขอเอาไปทำเส้นเรื่องในฮอร์โมน แล้วต่อยอดเป็นตัวละครไผ่" ที่สุดท้ายก็ได้เขามาเล่นนั่นละ

บอกอีกว่า เมื่อ 3-4 ปีก่อน ตอนอายุ 15-16 ปี ชีวิตเขาก็คล้าย "ไผ่"

"ด้วยความที่พ่อแม่ประคบประหงมเลี้ยงดูมาดี อย่างกับไข่ในหิน"

ดีจนเขาอึดอัด ก่อนสะสมเป็นความเก็บกด

ค่าที่ "เขาสร้างเส้นทางให้เราทั้งการเรียน อนาคต อาชีพ รวมถึงนิสัย"

ซึ่งจะว่าก็เข้าใจว่าเป็นเพราะรักและห่วง เช่นเดียวกับที่พี่ 2 คนของเขาก็เจอ และพ่อแม่ของคนอื่นๆ ก็เป็น

"ทุกคนโดนจำกัดกรอบ ต้องเป็นเด็กน่ารัก สุภาพ ไม่ปล่อยให้ลูกคิดเอง และเอานิสัยจริงๆ ออกมา เพราะรู้สึกว่าการปลูกฝังแบบนี้จะสร้างรากฐานนิสัยที่ดี ทั้งที่เด็กบางคนอาจรับไม่ได้

"บางคนโชคดีไป โตขึ้นมาสุภาพ เรียบร้อย อย่างผมผมก็โดนสอน แต่ในตอนนั้น ไม่ได้สุภาพเลย"

เรื่องเรียนก็ถูกปลูกฝังตั้งแต่อยู่ชั้นประถมว่า พอชั้นมัธยมปลายให้เรียนสายวิทย์ ประตูบานแรกเพื่อจะได้เป็นหมอในอนาคต

แรกๆ เขาไม่คิดต้าน แต่คำถามก็มาพร้อมกับความคิดที่เติบโตตามวัย

ว่า "สิ่งที่แม่คิดให้มันถูก หรือสิ่งที่เราคิดถูกกันแน่

"เราควรจะเลือกสิ่งที่พ่อแม่บอกว่าดี หรือทางที่เราเองบอกว่าชอบ"

สุดท้ายก็ได้คำตอบว่า เขาคงมีตัวตนแบบ "ไผ่" ซ่อนอยู่ในตัวนานแล้ว

"ไผ่" ที่เป็นตัวของตัวเองสูง รักเพื่อน และพร้อมจะลุยทุกอย่างตามความต้องการของตัว

"มันก่อตัวมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ แต่ตอนที่รู้สึกตัวคือมันพร้อมจะออกมา แล้วก็ค่อยๆ แอบออกมาโดยพ่อแม่ไม่รู้"

กว่าจะรู้ เขาก็ก้าวไปไกล ถึงขึ้นไม่สนใจแม้จะเห็นน้ำตาของทั้งสอง

"ตอนนั้นพูดเลยว่าผมไม่แคร์ ไม่สะท้านกับน้ำตาพ่อแม่แม้แต่น้อย"

จึงยังคงหนีเรียน ด่าครู และตีกับผู้คนไปเรื่อย

"เริ่มที่จะคบเพื่อนไม่ดี"

แต่ขอโทษที ถึงจะพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้แปลว่าจะโทษเพื่อน ว่าพาไปเสีย

"ต้องตัวเราสิครับ" ต่อยืดอกรับ

"ถ้าเราไม่ไปคบตั้งแต่แรก เรื่องก็ไม่เกิด เพราะฉะนั้นมันคือตัวเรา ไม่ใช่เพื่อนหรอก"

ในช่วงเวลา 2 ปีนั้น เขาค่อยๆ ไต่ระดับความแย่ขึ้นเรื่อยๆ

"มันเหมือนเราโดนเลือกเส้นทางมา แล้วพอปลดปล่อยตัวเอง มันจะเตลิด จนสุดท้ายถลำลึกจนไม่น่าจะกลับมาได้"

เพราะแม้ "ช่วงหนึ่งที่เริ่มเบื่อกับการมีปัญหากับคนอื่น ก็พยายามถอย แต่พอเริ่มถอยก็จะมีพวกที่คอยมาหาเรื่อง"

จนคนที่อยากมีความเป็นส่วนตัว อยากอยู่กับแฟน มากกว่าที่จะติดอยู่กับเพื่อน แต่ยุ่งกับเรื่องตีกันมามากเกินไป จนใครๆ ก็จำได้

พาให้ไปไหนมาไหนก็ไม่สะดวก ก็เริ่มอึดอัดใจ

"แล้วไปเจอหลายๆ คนทัก"

ทั้งพระที่นับถือที่บอกว่าจะเจออุบัติเหตุหนัก ทั้งผู้ใหญ่ที่เคารพบอกว่าจะเกิดอุบัติเหตุทางยานพาหนะที่ถ้าไม่ตายก็ต้องแขนหรือขาขาด หากเขาก็ไม่สนใจด้วยไม่เชื่อจึงเมินเฉยคำขอของพ่อแม่ที่อยากให้บวช

แล้วเหตุก็เกิด ด้วยมอเตอร์ไซค์ที่ขับด้วยความเร็ว 60 กม./ชั่วโมง ด้วยความระมัดระวังยิ่ง ถูกรถอีกคันปาดหน้าจนเสียหลัก โชคดีที่เพื่อนซึ่งนั่งมาช่วยไว้ เขาจึงรอดมาโดยมีบาดแผลเต็มตัว

นึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น ต่อก็ว่าเขายังจำได้ดี ถึงภาพเพื่อนที่ถอดเสื้อตัวเองมากดบาดแผลห้ามเลือดให้เขา แล้วเสื้อสีขาวก็กลายเป็นสีแดงไปในพริบตา

หลังจากนั้นไม่นานญาติอีกคนก็มาทักซ้ำ ว่าจะมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นอีก แถมแรงกว่าเก่า

"ผมเลยเริ่มเชื่อ เพราะขนาดเราระวัง ยังเกิด แล้วเอาจริงๆ พอผ่านจุดนั้นมา ก็เริ่มกลัวตาย เริ่มรู้สึกว่าคนตายได้นะ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่คิดว่าคนเราไม่ตายง่ายๆ หรอก"

กระนั้นเรื่องบวชก็ยังไม่อยู่ในความคิด จนคืนหนึ่งพ่อกับแม่ขอให้คิดดีๆ อีกสักครั้ง แล้วเขาซึ่งตอนนั้นเรียนอยู่ชั้นมัธยม 6 ก็ตกลงใจ

7 วันของการบวชฟังเหมือนสั้น แต่เณรซึ่งไม่สวดมนต์ ทำวัตร เลยระหว่างนั้น บอกว่าเมื่อสึกออกมาเขากลายเป็น "คนใหม่"

"ผ้าเหลืองช่วยได้ส่วนหนึ่งละ ประกอบกับสิ่งแวดล้อมที่เจอ"

ด้วยวัดห้วยน้ำโจน ใน จ.พิจิตร ซึ่งทางบ้านส่งเขาไปให้พบความสงบเพื่อฝึกจิตขณะนั้นไม่มีไฟฟ้า ใช้น้ำบาดาล อีกทั้งพื้นก็ยังเป็นพื้นดิน

"ไอ้ที่คิดไปว่าความลำบากน่ะ โอ๊ย...สบาย เจอของจริง ตลกไม่ออก

"เพิ่งเคยใช้น้ำที่สีไม่ใสเป็นครั้งแรก เพิ่งรู้ถึงคำว่ามืดแปดด้านเป็นยังไง มืดเหมือนมีคนเอากระดาษโปสเตอร์สีดำมาห่อรอบตัวตอนกลางคืน เหมือนลืมตาหรือหลับตาไม่ต่างกัน"

ตอนอยู่ที่นั่น เณรอย่างเขาไม่ได้ถูกบังคับให้ต้องทำวัตร ถูกขอก็แค่ให้ช่วยกวาดศาลา

"ศาลาที่มีแค่กรงเหล็กกั้น ลมพัดก็ต้องกวาดฝุ่นใหม่ กวาดๆๆ ไม่มีอะไรนอกจากนั้น มันเลยเริ่มนิ่ง ตอนนั้นด้วยความเป็นคนใจร้อน กว่าจะผ่านวันหนึ่งได้ทรมานมาก

"หลวงพี่พาออกบิณฑบาตวันแรก บอกเณรยังใหม่ ใส่รองเท้าก่อนดีไหม ผมเห็นคนที่อยู่มาก่อนไม่ใส่ แล้วด้วยนิสัยผม ก็ไม่ใส่ โอ้โห...ลูกรังทั้งนั้น ทั้งแบบหยาบ แบบใหญ่"

เดินไปไม่เท่าไหร่ก็เริ่มเจ็บ

"แล้วยิ่งเจ็บมากเท่าไหร่ ยิ่งรู้สึกถึงตอนเจ็บตัว ตอนที่มีเรื่องมากเท่านั้น

"เริ่มรู้สึกว่าการเจ็บแบบนี้มันทรมานตัวเองชัดๆ แต่ทำไมตอนนั้นไม่รู้สึก เดินแค่นี้ทรมานแล้ว แต่ไปต่อย ไปกระทืบเขาทำไมไม่เห็นทรมานบ้าง เพราะเราก็เจ็บด้วยเหมือนกัน

"เริ่มเห็นคุณค่าของร่างกาย เห็นสาระในชีวิต

"แล้วมันเหมือนฟิล์มที่หมุนย้อนกลับ ใน 7 วันนั้น ผมเห็นภาพทุกอย่างที่เคยทำมา สิ่งที่ทำไม่ดีกับพ่อแม่ กับใครๆ เห็นทุกอย่างจริงๆ แม้มันจะรางๆ เลือนๆ เพราะไม่ได้คิดถึงมานานมากแล้ว แต่ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึก ยิ่งเจ็บ โดยเฉพาะฉากที่ทำให้พ่อแม่เสียใจ

"ตอนนี้ผมเลยไม่เหมือนไผ่แล้ว

"ทำอะไรก็ไม่ร้อน ทำอะไรก็รู้สึกดี รู้สึกเย็น

"เจอคนบางคนตี เราก็นิ่ง ใครมาหาเรื่อง ผมก็คุยด้วยเหตุผล

"ตอนนี้ผมมั่นใจว่า ผมจะทำอะไรผมจะคิด ผมจะพูดอะไร ผมก็มีสติตลอดเวลา"

ส่วนเรื่องที่มีแฟนๆ หลายคนชมชอบไผ่ ถึงขั้นยกให้เป็นไอดอลนั้น ต่อว่า "มันไม่ใช่ประเด็นที่ซีรีส์ต้องการสื่อเลย

"คนไทยชอบนิยมเอาจุดเล็กๆ มาเป็นไอดอล ทำไมไม่มองทั้งตัวละครว่ามันอยากสื่ออะไรกันแน่

"ผมน่ะคอยฝากตลอดว่าซีรีส์เรื่องนี้ ไม่ได้เป็นการสร้างไอดอลให้ใครนะ เราแค่ต้องการบอกว่าสิ่งที่วัยรุ่นทำ มันมีเหตุผล แล้วเราอยากแสดงให้รู้ ให้คุณคิดเองว่าสิ่งนี้มันถูกหรือผิด

"เหมือนเหรียญที่มี 2 ด้าน"

ส่วนกับแฟนคลับ เขาก็ว่า "ผมอยากให้คนรักผม ชอบผมที่การแสดง ผมจึงไม่เคยสนใจคนที่แวะเวียนเข้ามาถ่ายรูปแล้วไป

"โอเค ผมก็รู้สึกดีที่เขารู้จักเรา แต่ผมไม่ต้องการให้คนมาหลงที่หน้าตา หลงในรูปลักษณ์ภายนอก เพราะผมไม่เคยมั่นใจอะไรในตัวเอง

"ผมแค่คิดว่านักแสดงแปลว่าต้องแสดง แค่เราแสดงดีแล้วมีคนชอบที่การแสดงเรา ก็พอ"

และเพราะคิดอย่างนี้ เขาจึงว่าต่อไปถ้ามีโอกาสได้แสดงอีก เขาก็จะพยายามให้มาก เพื่อที่ผลงานจะได้ดียิ่งขึ้น

ที่มา : นสพ.มติชน

- ดู Hormones วัยว้าวุ่น สดๆ ที่ Sanook.com

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook