ศธ.เล็งใช้หลักสูตรใหม่ ป.1-3 ปี′57 ระดับชั้น ม.1-3 นำร่องบางวิชาก่อน
ศธ.เล็งใช้หลักสูตรใหม่ ป.1-3 ปี′57 ระดับชั้น ม.1-3 นำร่องบางวิชาก่อน เร่งตั้งองค์การมหาชนดูแลเนื้อหา
เมื่อวันที่ 26 กันยายน นายภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผยว่า ได้เสนอนายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการ ศธ. ให้ตั้งคณะทำงานจัดตั้งสถาบันพัฒนาหลักสูตรเพื่อรองรับเมื่อจัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานใหม่เสร็จ เพื่อให้สถาบันพัฒนาหลักสูตรที่จะให้เป็นองค์การมหาชนมาดูแลหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานถาวร อาทิ การศึกษาวิจัย ติดตามและประเมินผลหลักสูตรเพื่อให้มีความต่อเนื่องของหลักสูตร จะได้ไม่ต้องมาร่างกันใหม่อยู่ตลอด แต่จะมีการแก้ไขปรับปรุงเป็นส่วนๆ ไป ซึ่งต่อไปสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จะไม่ได้ทำหน้าที่ในการจัดทำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานเมื่อมีสถาบันพัฒนาหลักสูตรแล้ว โดยต่อไปจะยกร่าง พ.ร.ฎ.จัดตั้งสถาบันเพื่อรองรับการเป็นองค์การมหาชนต่อไป
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ. กล่าวต่อว่า ส่วนโครงการประเมินนักเรียนนานาชาติ (PISA) ที่รัฐมนตรีว่าการ ศธ.ตั้งเป้าว่าการสอบในปี 2558 อันดับของประเทศไทยต้องดีขึ้นกว่าเดิมนั้น การจะให้บรรลุเป้าหมายได้ ควรมีการเตรียมพร้อมพัฒนานักเรียนที่เรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่จะมีอายุครบ 15 ปีในปี 2558 ได้มีการหารือในเรื่องนี้กับผู้ที่เกี่ยวข้องและเห็นว่า ศธ.คงไม่ต้องการแค่เพิ่มคะแนนให้หวือหวาด้วยการจัดติวให้กับนักเรียน แต่หากคะแนนส่วนนี้ดีขึ้น คุณภาพการศึกษาของไทยในภาพรวมก็จะดีขึ้น ดังนั้น การจะให้การศึกษาในภาพรวมดีขึ้น การนำหลักสูตรใหม่ไปใช้จะเป็นแนวทางที่ดี โดยเบื้องต้นการใช้หลักสูตรในระดับประถมศึกษาปีที่ 1-3 อาจจะประกาศใช้หลักสูตรใหม่ใน 6 กลุ่มสาระวิชาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 ทุกโรงเรียน ส่วนระดับมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 อาจจะประกาศใช้ในบางกลุ่มสาระวิชาในทุกโรงเรียนก่อนในปีการศึกษาหน้าเช่นเดียวกัน โดยทั้งหมดนี้จะต้องนำเสนอนายจาตุรนต์พิจารณาและอาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้ อย่างไรก็ตาม ในแผนเดิมของการใช้หลักสูตรใหม่ จะนำร่องในปีหน้าเฉพาะโรงเรียนบางส่วนเท่านั้น
"การปรับแผนใช้หลักสูตรใหม่ในปีหน้าค่อนข้างจะหนักใจอยู่บ้างว่าจะทันหรือไม่ แต่คิดว่าคงไม่มีปัญหาและตอนนี้ สพฐ.ก็ได้ตั้งงบประมาณปี 2557 ประมาณ 200 ล้านบาท รองรับแล้วในการทำความเข้าใจกับครูผู้สอน การจัดนักวิชาการเดินสายทั่วประเทศ" นายภาวิชกล่าว
ที่มา : นสพ.มติชน