เผยโจ๋ไทยมีปัญหาการเรียน เสี่ยงป่วยซึมเศร้า แนะพ่อ-แม่ปรับทัศนคติ ค่านิยมเรียนดี-เก่ง

เผยโจ๋ไทยมีปัญหาการเรียน เสี่ยงป่วยซึมเศร้า แนะพ่อ-แม่ปรับทัศนคติ ค่านิยมเรียนดี-เก่ง

เผยโจ๋ไทยมีปัญหาการเรียน เสี่ยงป่วยซึมเศร้า แนะพ่อ-แม่ปรับทัศนคติ ค่านิยมเรียนดี-เก่ง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พญ.ทิพาวรรณ บูรณสิน จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นชำนาญการ ประจำสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต ให้สัมภาษณ์ว่า วัยรุ่นใกล้การสอบเอ็นทรานซ์ เพื่อเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษา เป็นความคาดหวังของพ่อแม่เป็นเหมือนกันทุกบ้าน บางคนคาดหวังโดยไม่เข้าใจศักยภาพของลูกว่า มีมากน้อยแค่ไหน ถ้าความคาดหวังกับความเป็นจริงไม่สอดคล้องกัน ก็จะกลายเป็นความกดดันให้ลูก ขณะเดียวกันเด็กทุกคนต้องการการยอมรับจากพ่อแม่ และหากพ่อแม่มีความคาดหวังมาก เด็กพยายามทำเต็มที่แล้ว แต่ผลออกมาได้ไม่ดีตามที่คาดหวัง เด็กจะเกิดความทุกข์ใจ เกิดความกดดัน เสี่ยงเรื่องความซึมเศร้า วิตกกังวล

"ศักยภาพของคนมีไม่เท่ากัน คลินิกสุขภาพจิตวัยรุ่นของสถาบันฯ พบวัยรุ่นมีปัญหาการเรียนมารับการปรึกษาร้อยละ 15-30 ถือว่ามากพอสมควร บางคนฉลาดแต่สมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งต่างๆได้นาน หรือบางคนมีความบกพร่องด้านทักษะการเรียนรู้ แม้จะพยายามแล้วแต่ก็ยังไม่เข้าใจ พบได้ร้อยละ 5 ต้องการการช่วยเหลือทักษะการเรียนเป็นพิเศษรายบุคคล และเป็นปัญหาสะสมตั้งแต่วัยเรียน วัยประถม พ่อแม่ต้องปรับทัศนคติ โดยเฉพาะค่านิยมเด็กเรียนเก่ง เรียนดี และสอบเอ็นทรานซ์ติด ต้องให้กำลังใจเด็ก เข้าใจเด็ก มีข้อบกพร่องด้านใดต้องพยายามช่วยประคับประคองเด็กตั้งแต่ยังเล็ก ก็จะช่วยลูกลดความเครียดสะสมในเรื่องการเรียนได้

"เด็กที่ผิดหวังบ่อยๆ เสี่ยงต่อโรคซึมเศร้าต่อเนื่องจนถึงวัยผู้ใหญ่ พบได้ร้อยละ 15-20 และแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละประมาณร้อยละ 3 ต่อปี" ยังทำให้เกิดโรควิตกกังวล เด็กขาดความมั่นใจ ขาดความเชื่อมั่นและขาดความศรัทธาตนเอง ขาดศรัทธาในการทำสิ่งดีๆ อีกต่อๆ ไป อันตรายมากเปรียบเสมือน การขาดภูมิคุ้มกันทางจิตใจ เด็กหลายคนอาจมีความประพฤติเปลี่ยนไปในทางตรงข้าม เช่น จากความประพฤติเรียบร้อยกลายเป็นแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ต่อต้าน เกเร ต่อต้านสังคม เสี่ยงกระทำผิดกฎหมายได้ เป็นต้น"

พญ.ทิพาวรรณกล่าวต่อว่า พ่อแม่ที่มีลูกวัยรุ่นมักเจอกับปัญหาความไม่เข้าใจกัน เพราะวัยห่างกัน อาจจะทำให้เด็กไม่กล้าที่จะปรึกษา ดังนั้นสิ่งที่พ่อแม่ต้องทำอย่างแรกเมื่อลูกเดินเข้ามาปรึกษาปัญหา คือ 1.ต้องให้เวลาลูก 2.ตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกพูด ฟังโดยใช้สติ ไม่ด่วนตัดสิน อย่าใช้อารมณ์ 3.ให้กำลังใจและหาทางออกให้เด็กเมื่อเด็กต้องการ สิ่งที่พ่อแม่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่งคือ อย่าพูดคำว่าเดี๋ยว เพราะวัยรุ่นอาจจะรอไม่ได้ และหากเด็กไม่ได้รับคำปรึกษาจากพ่อแม่แล้ว เด็กก็จะหันไปปรึกษาเพื่อนๆ แทน และได้ทางออกในทางที่ไม่เหมาะสม

พญ.ทิพาวรรณยังกล่าวอีกว่า ในการสร้างค่านิยมใหม่ของพ่อแม่ ควรสนับสนุนเรื่องการเป็นคนดี มีพฤติกรรมดี มีระเบียบวินัย ซื่อสัตย์ อดทน มีน้ำใจ มากกว่าจะดูที่ผลการเรียน เพราะคะแนนเป็นเพียงตัวเลข ควรดูที่ความพยายามของลูก และช่วยพัฒนาจุดอ่อนทางการเรียนรู้ การสอบเอ็นทรานซ์เป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งในชีวิต ไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต และคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตคือ "คนดี" มีความรับผิดชอบ เข้ากับคนอื่นได้ง่าย เป็นที่ยอมรับของสังคม ไม่ใช่เฉพาะ "คนเก่ง" เท่านั้น

สำหรับวิธีการสร้างภูมิคุ้มกันทางใจแก่ลูก ประกอบด้วย 1.ตระหนักรู้ในตัวตนของลูกว่ามีความสามารถอะไร เก่งอะไร อะไรคือจุดอ่อน จุดแข็ง โดยให้พัฒนาต่อจุดแข็ง และพยายามปรับปรุงจุดอ่อนของลูก 2.สังเกตการปรับตัวของลูกที่โรงเรียน 3.ติดตามเอาใจใส่เรื่องความรับผิดชอบและผลการเรียนอย่างใกล้ชิด 4.คอยประคับประคองช่วยเหลือให้กำลังใจ ยืนข้างๆ ลูก ถ้าเด็กมีความพยายามและตั้งใจที่ดีก็จะเก่งได้ในวันข้างหน้า และสามารถเป็นที่พึ่งเลี้ยงตัวเองได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งคนอื่น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook