ประเมินความสามารถ ในการเป็นผู้นำของบุตรหลาน (2)
หลังจากฉบับที่แล้วได้เล่าให้ฟังถึงสิ่งบ่งชี้ 3 ประการแรกที่สังเกตได้ ซึ่งมักสะท้อนความถนัดด้านความเป็นผู้นำ ฉบับนี้จะขอเล่าต่อถึงสิ่งบ่งชี้ที่ 4 ถึง 6
4.บุตรหลานของท่านถูกกล่าวหาว่าชอบบงการผู้อื่น หัวแข็ง หรือเอาแต่ใจ
คุณลักษณะนี้อาจทำให้ครูอาจารย์ ผู้ปกครอง โค้ช หรือพี่น้องปวดเศียรเวียนเกล้า แต่โดยทั่วไป ผู้นำมักมีความคิดมากมายเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ พวกเขามักเต็มใจจะแบ่งปันความคิดนี้เมื่อมีคนถาม และบางครั้งแม้ไม่มีคนถามก็ตาม เด็กอาจเป็นคนหัวแข็งโดยที่ไม่ใช่ผู้นำได้
แต่ผู้นำจำนวนมากเป็นคนหัวแข็ง และเช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ข้างต้น บ่อยครั้งที่ความแตกต่างอยู่ที่ผู้อื่นทำตามเขาหรือไม่ ถึงแม้บุตรหลานของท่านจะไม่ชอบบงการผู้อื่น หรือไม่ได้เป็นคนหัวแข็ง นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่มีความถนัดในการเป็นผู้นำ
บางทีเขาอาจได้เรียนรู้มาก่อนแล้วว่า ควรออกความคิดเห็นเมื่อไร และมีวุฒิภาวะมากพอที่จะตระหนักได้ว่าเมื่อไรที่ควรและไม่ควรแสดงออก โดยเฉพาะเมื่อมีผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้น การไม่มีคุณลักษณะดังกล่าวจึงไม่ได้บ่งชี้การขาดความถนัดเสมอไป
แต่การมีคุณลักษณะนี้มักเป็นสัญญาณบ่งชี้ความถนัด เด็ก ๆ ที่มีคุณลักษณะนี้จะได้ประโยชน์จากการฝึกอบรมอย่างตั้งใจ เพื่อให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยงการทำให้ผู้อื่นไม่พอใจ และประสบความสำเร็จในการนำขึ้นสู่ด้านบนเมื่อมีผู้ใหญ่เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งหมายถึงการโน้มน้าวชักจูงผู้บังคับบัญชาและ/หรือผู้ที่มีอิทธิพลมากกว่าตนเอง
5.บุตรหลานของท่านได้รับเลือกจากผู้ใหญ่ให้เป็นผู้ดูแลชั้นเรียน กัปตันทีม หรือหัวหน้ากลุ่ม
ผมได้สอนผู้ใหญ่ในการตัดสินใจว่าใครมีความสามารถด้านความเป็นผู้นำในองค์กร พวกเขาควรสัมภาษณ์ผู้อื่น และมองหาบทบาทในอดีตของพวกเขาซึ่งเป็นบทบาทที่มีอิทธิพลต่อผู้อื่น ผู้ใหญ่มักสังเกตเห็นผู้นำรุ่นเยาว์ในชั้นเรียน โรงเรียนสอนศาสนา และในสนามเบสบอล และมอบหน้าที่อย่างเป็นทางการ
บ่อยครั้งผู้ใหญ่ทำเช่นนี้โดยสัญชาตญาณ เพื่อให้ได้รับความเคารพจากผู้มีอิทธิพลรุ่นเยาว์รายนั้น ๆ และเพื่อดึงความสามารถโดยธรรมชาติในการควบคุมคนอื่น ๆ ของเขาออกมา การทำเช่นนี้ช่วยในการสอนและการโค้ช โดยลดการขัดจังหวะลง การให้ชั้นเรียนอยู่ในความดูแลของสมาชิกสภานักเรียน หรือให้กัปตันดูแลการบริหารร่างกายของทีมจะช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ใหญ่ได้
ชีวิตของผู้นำจำนวนมากอยู่ในรูปแบบนี้คือมีผู้ใหญ่มองเห็นศักยภาพของเขาตั้งแต่อายุยังน้อย และเลือกให้เขาลงสมัครเป็นสมาชิกสภานักเรียน เป็นกัปตันทีม หรือบริหารกลุ่มงานในบริษัท คนส่วนใหญ่ที่ได้รับความเชื่อถือในการกำหนดทิศทางนั้นมักได้รับเลือกให้สวมบทบาทที่มีอิทธิพลต่อผู้อื่นมาแล้วในวัยเยาว์
6.บุตรหลานของท่านถูกคาดโทษ หรือลงโทษเพราะเบี่ยงเบนความสนใจของชั้นเรียนหรือทีม
การสอนเป็นงานหนัก ดังนั้น หากครูอาจารย์ขาดทักษะในการแยกแยะและพัฒนาผู้นำรุ่นเยาว์ อาจรู้สึกว่าต้องแข่งขันกับนักเรียนที่มีอิทธิพลต่อผู้อื่น ในช่วงหลังของหนังสือเล่มนี้จะมีบทหนึ่งที่เรากล่าวถึงวิธีที่ปฏิบัติได้จริง ซึ่งครูอาจารย์สามารถนำไปใช้พัฒนาผู้นำรุ่นเยาว์ในชั้นเรียนได้
แต่เมื่อครูคนเดียวคุมนักเรียน 15, 20 หรือ 30 คนขึ้นไป ความเชื่อฟังจึงเป็นสิ่งจำเป็น ถ้านักเรียน 10% ของชั้นเรียนเป็นผู้นำโดยธรรมชาติ นักเรียนเหล่านี้จะดึงดูดความสนใจจากผู้อื่นโดยอัตโนมัติ เมื่อผู้นำที่กำลังเติบโตแสดงอารมณ์ขัน พูดตลก หรือเสียดสี เพื่อนร่วมชั้นหลายคนจะหันเหความสนใจไปจากครู หรืองานที่ตนต้องทำ
ผู้มีอิทธิพลวัยเยาว์เหล่านี้จะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกก่อกวนชั้นเรียนและตัวปัญหา นักเรียนที่ไม่เชื่อฟัง แต่ไม่ใช่ผู้นำจะเป็นปัญหาน้อยกว่า พวกเขามักถูกมองว่ากวนใจ แต่ไม่ก่อปัญหาต่อการควบคุมชั้นเรียน ดังนั้น ผู้นำจึงมักได้รับความสนใจในแง่ลบมากกว่าเมื่อออกความเห็น หรือปฏิบัติสิ่งที่ไม่เหมาะสม
เพราะพวกเขาก่อปัญหาให้ผู้ใหญ่ที่พยายามรักษาความสนใจของเด็กในปกครองไว้
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
คอลัมน์ Education Ideas โดย บริษัทที่ปรึกษาเอพีเอ็ม กรุ๊ป