คุยกับหนุ่มไทย เจ้าของไอเดียเจ๋ง คอสเพลย์ต้นทุนต่ำ แต่ดังทั่วโลก

คุยกับหนุ่มไทย เจ้าของไอเดียเจ๋ง คอสเพลย์ต้นทุนต่ำ แต่ดังทั่วโลก

คุยกับหนุ่มไทย เจ้าของไอเดียเจ๋ง คอสเพลย์ต้นทุนต่ำ แต่ดังทั่วโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

บนพื้นที่สาธารณะกว้างขวางของเฟซบุ๊ก มีเพจเกิดใหม่รายวันจนตามดูแทบไม่ทัน หนึ่งในบรรดาเพจที่ "แจ้งเกิด" อย่างเป็นทางการในขณะนี้คือ "Lowcostcosplay" ที่รวบรวมงานสุดสร้างสรรค์ของหนุ่มต้นทุนต่ำ แต่มีใจรักแต่ง "คอสเพลย์" เลียนแบบคาแร็กเตอร์อันหลากหลาย ตั้งแต่จากการ์ตูน หนัง บุคคลดังในสังคม ไปจนถึงสิ่งของ!


ทำไปทำมา "Lowcostcosplay" ก็ไม่ใช่แค่เพจงานสร้างสรรค์ที่ดูเอาฮา ขำๆ หรือแค่คลายเครียดเท่านั้น ทว่ามันกลับกลายเป็นเพจ "โกอินเตอร์" ทั้งไปไกลและดังในระดับนานาชาติ

ทีมงาน "ประชาชาติธุรกิจ ออนไลน์" ได้โอกาสเหมาะคุยกับ "อนุชา แสงชาติ" หนุ่มเจ้าของเพจคอสเพลย์ต้นทุนต่ำ ถึงการสร้างสรรค์งานคอสเพลย์ของเขา ด้วยจุดขายตรงที่คอสเพลย์ของอนุชาต่างจากคอสเพลย์อื่นๆ อย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ได้อาศัยอุปกรณ์อะไรมากมาย และไม่ได้ต้องลงทุนเป็นเงินเลยสักบาท ใช้ของใช้ประจำวันใกล้ตัวผนวกกับไอเดียจินตนาการล้วนๆให้เป็นคอสเพลย์สไตล์เด็กหนุ่มคนนี้

อนุชา เด็กหนุ่มวัย 24 ปี เล่าอย่างกระตือรือร้นว่า เพจของเขาเปิดมาได้ 3 เดือน และได้ผลตอบรับดีเกินคาด ชนิดที่มีผู้ติดตามเพจมาบอกว่า เขากลายเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งาน และทุกวันนี้ หากเขาโพสต์รูปงานคอสเพลย์ของตนเองทีไร อย่างน้อยก็ต้องมียอดไลค์อย่างต่ำ 3-4 พัน ไม่ว่าจะสวมบทบาทเป็นใครก็ตาม

แต่ที่มาของอนุชาผู้สวมบทแต่ง "คอสเพลย์" คาร์แร็กเตอร์ต่างๆ แทบเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิงกับอนุชาใน "ชีวิตจริง" เมื่อฟังคำบอกเล่าของเขา

อนุชาทำงานในบ้านพักคนชราเอกชน คอยดูแลผู้สูงอายุ เขาบอกว่า งานนี้ทั้งหนัก เหนื่อย ใช้ความอดทนสูง และต้องมีใจกว้างมากจริงๆ

"ผมบอกเลยว่า คนที่มองจากภายนอก เขาจะมองว่าเราหล่อ ที่มาดูแลผู้สูงอายุ ที่จริงทุกคนทำได้หมดแหละ แต่ว่ามันต้องใช้ความอดทนสูงมาก คือไม่มีใครหรอกที่จะมาเป็นพ่อพระ ทำด้วยใจ มันหายาก เพราะว่าคนที่มาทำตรงนี้ ต้องโดนกระทบกระทั่งเยอะ ผมเพิ่งรู้ว่า คนที่มาอยู่บ้านพักคนชราคือคนไม่ปกติ เราต้องใจกว้างเหมือนมหาสมุทร ต้องอย่างนั้นเลย ผมว่า คนไม่เจ๋งจริงมานี่แบบตายเลย เงินเดือนก็น้อยด้วยนะ"

แต่เพราะอนุชาจบการศึกษาชั้นมัธยมปลาย และเรียนรู้โลกการทำงานตั้งแต่จบ ม.6 เขาจึงอดทนสูงกับงาน และงานนี้ก็มาพร้อมข้อดีที่ทั้งได้ทำงานที่ช่วยเหลือคนอื่น เข้ามาเติมเต็มชีวิตเด็กกำพร้าของเขา และยังเอื้อให้เขามีเวลาว่างหลังเสร็จงานและกลายเป็นที่มาของการเปิดเพจ Lowcostcosplay

อนุชาเล่าถึงการเริ่มแต่งคอสเพลย์ว่า "ผมเป็นไฮเปอร์ เวลาทำงานเสร็จ ผมก็จะนั่งสำรวจไปเรื่อย เห็นว่าที่นี่มีผ้าเช็ดตัวหลายผืน หลายๆ สี เรียงกันเป็นรุ้ง ผมก็คิดภาพตาม เป็นการ์ตูนที่ชอบวาด คิดว่า มันก็น่าจะแต่งเป็นการ์ตูนได้นี่น่า แต่ก็ไม่ได้ทำ จนมีวันนึง ผมจะอาบน้ำ ตอนนั้นผมยกดัมเบล เริ่มมีกล้ามแล้ว พอผมเบ่งกล้าม รู้สึกว่าตัวเองเหมือนลีโอไนดัส ตัวละครจากหนังเรื่อง 300 ผมก็มโนไปเองว่าผมเป็นเป็นกษัตริย์แห่งสปาตาเหมือนลีโอไนดัส ผมก็ไปหยิบผ้าเช็ดตัวสีแดงมาคลุมคอ เป็นผ้าคลุม เหมือนยูนิฟอร์มของนักรบสปาตา เอากล้องมาถ่ายตัวเอง แชะ! แล้วก็โพสต์รูปลงเฟซบุ๊ก แล้วเขียนว่า ′ข้าคือลีโอไนดัส′ "

จากครั้งนั้น กระแสตอบรับดีกว่าที่คิด เพราะคอสเพลย์ของอนุชาต่างจากคอสเพลย์อื่นๆ อย่างสิ้นเชิง ไม่ได้อาศัยอุปกรณ์อะไรมากมาย และไม่ได้ต้องลงทุนเป็นเงินเลยสักบาท

เขาเล่าว่า มีทั้งคนชอบ คนชม คนติ และด่าว่า ปัญญาอ่อน เอาเวลาไปเรียนดีกว่ามั้ย แต่ทำให้เขาจริงจังกับคอสเพลย์มากขึ้น จากการคอมเม้นท์ประโยคที่ว่า "มึงแต่งคอสเพลย์ด้วยผ้าเช็ดตัวสีแดงผืนเดียวเนี่ยนะ" อนุชาบอกว่า เมื่อได้ยินประโยคที่ว่า เขาปิ๊ง! ทันที และคิดได้เลยว่า คอสเพลย์ไม่จำเป็นต้องไปซื้อของเพิ่มหรือตัดชุดเป็นหมื่น แต่แค่เอาพร็อพหรือของใช้ในบ้านมาทำก็ได้

หลังจากนั้น อนุชาก็คอสเพลย์ตัวต่อมาเป็น "โดเรมอน" ด้วยการเอาผ้าห่มสีน้ำเงินมาคลุมหัว ทาแป้งที่หน้า ใช้หนังยางมารัดหน้า หาฝาสีแดงๆ มาแปะจมูก จากนั้นก็โพสต์ลงไปเป็นเพลงโดเรม่อนว่า "อั๊ง อัง อัง" และเช่นเคยมีคนเรียกร้องให้เขาคอสเพลย์เรื่อยๆ กระทั่งเขาสะสมรูปคอสเพลย์ตัวเองไว้มาก และรวบรวมเปิดเพจ Lowcostcosplay ในที่สุด

เขาเล่าว่า เพจ Lowcostcosplay เหมือนสนามเด็กเล่นให้ทุกคนย้อนตัวเองมาเป็นเด็กอีกครั้งนึง ไม่ว่าวัยไหนก็สามารถสนุกสนานได้ เพราะในอดีต ตอนยังเด็กทุกคนต่างก็เคยดูการ์ตูน และเลียนแบบการ์ตูนที่ตนเองชอบ ที่นี่จึงเป็นพื้นที่ของการย้อนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ไม่ใช่เพียงพื้นที่ของการโชว์งานคอสเพลย์ของตัวเขาคนเดียว

ส่วนวิธีการคอสเพลย์ของอนุชา เขาเล่าว่า เขามีวิธี 2 วิธีคือ 1 เห็นสิ่งของแล้วจินตนาการว่าสามารถดัดแปลงเป็นอะไรได้บ้าง กับ 2 ดูรูปภาพคาแร็กเตอร์แล้วจินตนาการว่าจะใช้อะไรบ้าง และยังเปิดเผยเทคนิคว่า ก่อนจะคอสเพลย์คาแร็กเตอร์สักตัวต้องจับ "แก่น" ของตัวละคร หรือสิ่งๆ นั้นให้ได้ก่อน ทั้งสี รูปร่าง รูปทรง หรือว่าอารมณ์ของตัวละครนั้นๆ อย่างตอนที่คอสเพลย์เป็นสุเทพ เขาบอกว่า จับคาแร็กเตอร์ที่โหนกแก้ม แววตา ธงชาติ และรอยยิ้มของสุเทพ

แต่สำหรับอนุชาแล้ว เขาคิดว่า คอสเพลย์ของตนเองมีความพิเศษตรงที่กระตุ้นให้คน "คิดต่อ" ได้ หรือบางครั้งอาจเป็นถึง "ปรัชญา"

"ญี่ปุ่นแต่งคอสเพลย์แบบสวยงาม เหมือนที่เขาแต่งกันตามอีเวนต์แล้วถ่ายรูปกันเฉยๆ แต่ของผมมันเป็นปรัชญา สำหรับผม ทำให้ได้รู้นิสัยคนด้วยจากการคอมเม้นต์ ของผมนี่เรียก ′คอส′ แล้ว ′เพลย์′ จริงๆ นะ หมายความว่า แต่งตัวแล้วเล่นสนุกกับมุก เล่นสนุกกับมันได้ด้วย เอาของโน่นนี่มาแต่ง มาดัดแปลงได้ เป็นงานใหม่สร้างสรรค์ แต่บางคนเขาก็มองว่าเป็นการทำลายข้าวของ"

"คอสเพลย์ชิ้นที่ดังมากของผมคือ "Life of Leo" วันนั้นกินลีโอพอดี หลังเลิกงาน กับเพื่อนๆ เห็นขวดเบียร์ก็นึกขึ้นมาได้ว่ามันเป็นปรัชญาได้นะ เรานี่ก็เหมือน Life of Pi แต่เรามีลีโอแทน มีลีโออยู่บนเรือ 1 ขวด ซึ่งฉลากเป็นเสือดาวนะ ไม่ใช่เสือโคร่ง มันก็ไม่ใช่ Life of Pie แล้ว แต่มันสื่อถึงอะไร ก็สื่อถึงวัฒนธรรมไทยที่ชอบกินเบียร์ พอมาเป็น Life of Pie คนก็คิดว่า เกี่ยวอะไรกับการคอสของผมมั้ย มันก็คิดไปได้เยอะไง คิดเล่นๆ ไปมา ก็เป็นชิ้นนี้ ชิ้นที่ผมเล่นมุมกล้องโฟกราวนด์"

หากต้องพูดถึงผลงานตัวเอง คอสเพลย์ที่อนุชาชอบที่สุดและสร้างความเข้าใจอีกแง่มุมสังคมไทยคือ การคอสเพลย์เป็น "ตัวเงินตัวทอง"

"ผมชอบที่คอสเพลย์ผมที่เป็นตัวเงินตัวทอง มันประชดสังคมดี ผมแค่เอาเทปสีแดงมาตัดเป็นแฉกแล้วมาแปะที่ลิ้น แค่เนี๊ยะ คนก็มาชอบ มาไลค์เต็มเลย ทำให้คิดได้ว่า คนเรานี่ชอบมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นจริงๆ ทั้งที่เป็นคอสที่ไม่เหมือนเลย แค่แปะเทปแล้วทำท่า พอโพสต์แล้วทำไมมันมีกระแสตอบรับดีมาก มีทั้งคนเข้ามาถ่มถุย แล้วก็มีคนมาห้ามว่า ไปว่าเค้าทำไม ตอนแต่งเป็นตัวเงินตัวทองเนี่ยก็วัดคนเหมือนกัน เป็นจิตวิทยาว่า ดูสิคนจะเม้นท์มาแนวไหน ผมก็ได้เห็นแล้ว"

หลังจากผลงานคอสเพลย์ของอนุชาแพร่หลาย ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ที่เขาหยิบจับของใกล้ตัวมาดัดแปลง และสร้างทั้งอารมณ์ "ทึ่ง" และ "เสียงหัวเราะ" ไปพร้อมๆ กัน แต่ดูเหมือนว่า ต่างชาติจะให้ความสนใจในการคอสเพลย์ของเขาเป็นพิเศษ ถึงขั้นบอกว่า มันคือ "งานศิลปะ"

"บางคนบอกว่า งานที่ผมทำมันเป็นงานศิลปะ ไม่ใช่คอสเพลย์ แต่เหมือนเลดี้ กาก้า ผมก็แล้วแต่ ใช่หรือไม่ใช่งานศิลปะ หรือคิดอะไรก็คิดไป ก็คือผมสนุกไง ไม่ได้คิดมาก ต่างชาติบอกว่า เพจผมคือ inspiration ทำให้เกิดมุมมองใหม่ๆ ที่เป็นอย่างนี้ เพราะคนมุมมองไม่เหมือนกัน คนมันร้อยพ่อพันแม่ เหมือนเอกลักษณ์คอสเพลย์ของผม ผมจะทุกทาแป้งตลอด พอไปถึงเว็บฝรั่ง เขาก็คิดว่าทาแป้งคือ สัญลักษณ์ยิ่งใหญ่ ประมาณว่า ถ้าเอาถ่านทาจะเป็นการดูถูกคนดำ ถ้าปล่อยให้เป็นธรรมชาติก็แสดงเป็นชาวผิวเหลืองเท่านั้น ส่วนทาหน้าขาวนี่คือสัญลักษณ์ของอิสรภาพ ที่ทุกคนสามารถเข้าใจได้เหมือนกันหมด แต่ที่ผมทาแป้งไม่ใช่อะไร ก็อารมณ์ชิงร้อยชิงล้าน อารมณ์เอาแป้งมาแปะเล่นกัน"

เมื่อมีสื่อให้ความสนใจกับการคอสเพลย์ของอนุชาก็เริ่มมี "โอกาส" เข้ามาในชีวิตของเขามากขึ้นตามไปด้วย ทั้งเว็บต่างชาติขอสัมภาษณ์ แสดงหนังโฆษณา ไปออกรายการทีวีของไทย ที่น่าสนใจที่สุดคือ เขาถูกทาบทามให้ไปเป็นครีเอทีฟ เพราะผลงานของเขา แต่สำหรับเขา เป้าหมายการไปเยือนประเทศญี่ปุ่น สำคัญและอยากทำให้ได้เร็วที่สุด

"ผมปฎิเสธไป เพราะผมอยากเป็นตัวของผมเอง ยังอยากไปญี่ปุ่นผ่านทางกรมแรงงานอยู่ ไปเป็นแรงงาน ก็โอเคดี ไม่ต้องคิดอะไรมาก เป็นแรงงานก็ใช้แรงงานไป มีเวลาวันหยุด ผมก็ใช้เวลาชิลๆ ของผมไป ผมอาจจะไปถ่ายภาพ เขียนบทความลงเฟซบุ๊กก็ได้ ผมชอบชีวิตอย่างงี้"

"เงินก็สนใจ แต่ยังไงล่ะ ผมชอบปิดโอกาสตัวเอง คือ ไม่ต้องการให้ใครมาคอนโทรลชีวิตผม ผมจะคอนโทรลชีวิตตัวเอง ถ้าภาษาชาวบ้านเรียกว่า โคตรโง่เลย มีคนบอกว่า มีงานดีๆ มา ทำไมไม่ทำ เอาชีวิตตัวเองให้รอดก่อน เดี๋ยวค่อยไปทำตามความฝัน มีเงินแล้วเดี๋ยวค่อยทำก็ได้ แต่ไม่ผิดนะ ผมว่า ทำยังไงก็ผิด ชีวิตเป็นของเรานี่หว่า"

ย้อนกลับไป อนุชาไม่เคยเสียใจที่เขาตัดสินใจไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยทั้งที่ญาติมีทุนส่งเรียน เขาบอกว่า เขาไม่ชอบสังคมและบรรยากาศการไปเรียนในห้อง แต่เขาเชื่อว่า เขาเอาตัวรอดได้ ใช้ชีวิตแบบเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา แม้ไม่ได้เรียนให้ห้องเรียนก็ตาม เขาพยายามศึกษาแกรมม่าภาษาอังกฤษจากชาวต่างชาติที่มาคอมเม้นท์ในเพจโดยดูคำศัพท์และเปิดดิกชันเนอรี่ ก็อปปี้คำมาศึกษา พร้อมๆ ไปกับทำสิ่งที่รักคือ คอสเพลย์

อนุชาเล่าถึงความฝันที่อยากไปญี่ปุ่นว่า เป็นเพราะเขาชอบทุกอย่างที่เกี่ยวกับญี่ปุ่น ตั้งแต่นางเอกหนังเอวี วัฒนธรรม ศิลปะธรรมชาติ และด้วยการเอาใจใส่ในรายละเอียดต่างๆ ของญี่ปุ่น เขาเล่าว่า ทั้งศาลเจ้า ดาบซามูไร ชุดเกราะนักรบ และอะไรที่เกี่ยวกับญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่สวยงามในสายตาเขา

"การ์ตูนเป็นสื่อแรกที่ทำให้ได้รู้จักญี่ปุ่นแต่การวาดการ์ตูนของญี่ปุ่นนี่เขาใส่ใจการ์ตูนเป็นความรู้ญี่ปุ่นทุ่มเทและพยายามมากกับการ์ตูน1เรื่องการ์ตูนของเขาสามารถทำให้คิดต่อและสร้างแรงบันดาลใจได้เลยญี่ปุ่นนี่เป็นประเทศที่เก่งจริงๆนะมันเหมือนเป็นความหวังของโลกเหมือนกับว่าถ้าโลกแตก ญี่ปุ่นมันต้องมีบทบาท ประมาณนั้นเลย ต้องมีความลับสักอย่างของโลกที่ญี่ปุ่นกำไว้"

อนุชาทิ้งท้ายถึงความฝันในการเยือนญี่ปุ่นของเขาว่า "เชื่อชะตาชีวิตมั้ยว่า เราต้องไปทำอะไรสักอย่าง อย่างผมเนี่ย ยังไม่รู้ชัดว่า จะไปญี่ปุ่นนี่ผมจะไปทำอะไร แค่รู้ว่าต้องไป เป็นชีวิตที่ชอบเสี่ยง ก่อนนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมมาทำงานบ้านพักคนชราทำไม แต่พอผมมาทำ มันก็กลายเป็นว่ามาได้ทำเพจนี้ แล้วมันก็เกิดสิ่งอัศจรรย์อย่างนี้เกิดขึ้น"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook