ปิดเทอม 6 เดือน กับการค้นหาตัวเองจนเจอ (ผ่านการเดินทางท่องเที่ยว)
เรียนรู้โลกกว้างผ่านนักเรียนไทย ผู้ใช้เวลาว่างในช่วงปิดเทอมเดินทางท่องเที่ยว จากเหตุผลง่ายๆ คืออยากใช้ชีวิตในช่วงปิดเทอมให้คุ้มค่าที่สุด จนสามารถค้นพบความสุขที่สุดที่ได้จากการเดินทาง
ปิดเทอมตั้งหกเดือน จะทำอะไรดีว่ะ? คำถามที่ผมถูกถามบ่อยที่สุดในช่วงเกือบๆเจ็ดเดือนก่อน เชื่อว่าหลายคนในที่นี้ก็น่าจะเคยถูกถามและอาจจะเป็นผู้ถามเองมาบ้าง คำตอบที่ว่าคืออะไรบ้างครับ? จะผอม จะสวย จะเรียนพิเศษ จะทำงานพาร์ทไทม์ จะไปเที่ยว จะฝึกงาน บลาๆ ผมเป็นคนหนึ่งที่ถูกถามและเป็นคนถามคำถามนี้กับเพื่อนหลายๆคน ถามบ่อยจนกระทั่งเพื่อนผมบอกว่า ‘ถามแต่คนอื่น แล้วเมิงอ่ะ...ปิดเทอมตั้งหกเดือน จะทำอะไรว่ะ?'
‘อืมมมมม ไม่รู้หว่ะ...'
ใช้ชีวิตไปวันๆ คงนิยามตัวตนผมในตอนนั้นได้ดีที่สุดตื่นเช้า ไปเรียน กลับบ้าน เล่นเกมส์ ดูหนัง นอน หนึ่งวันจบแล้ว...‘เรียนเก่งๆโตไปจะได้สบาย' ประโยคที่ผู้ใหญ่รอบข้างพร่ำสอนผมเชื่อครับว่ามันคือความจริง แต่จะเรียนเก่งไปเพื่ออะไร ในเมื่อเป้าหมายก็ยังไม่มี ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ก็ยังไม่รู้เลย จะทำอะไรก็ไม่มีกระจิตกระใจที่จะใส่ไปให้เต็มร้อย
เคว้ง... เพราะเคว้งนี่แหละครับ ทำให้ผมตัดสินใจออกเดินทาง สิ่งเดียวที่คิดตอนนั้นคือ ทำยังไงก็ได้ให้ปิดเทอมหกเดือนข้างหน้านี้เจ๋งที่สุด คุ้มที่สุด
จุดประสงค์ของกระทู้นี้คือผมอยากแชร์สิ่งที่ได้ไปเจอมาตลอดระยะเวลาเกือบหกเดือนจนทำให้ผมรู้จักตัวเองมากขึ้น เรื่องราวที่ผมนำมาแชร์มันก็คือเรื่องทั่วๆไปที่พวกเราต่างก็รู้ดีกันอยู่แล้วทั้งนั้น มันไม่ได้พิเศษอะไรหรอกครับ แต่เพราะมันธรรมดานี่แหละ ที่ทำให้บางครั้งผมก็ลืมนึกไปบ้าง หลงลืมไปบ้าง เพิกเฉยกับมันไปบ้าง ลองอ่านดูนะครับ
ปล.ผมใช้เงินจากการทำงานพาร์ทไทม์หนึ่งปีเป็นทุน และโชคดีที่มีครอบครัวสนับสนุนด้วยครับ
ปล.2 ผมพึ่งจะสร้างเพจของตัวเองเมื่อสัปดาห์ก่อน เป็นเพจท่องเที่ยว ที่ชอบแชร์เรื่องราวระหว่างทางเดิน ไม่ว่าจะเป็น ประสบการณ์หลงทางในป่า เฮฮาชวนคุณป้าข้างทางคุย นั่งหน้ามุ๋ยเพราะโดนคนจีนต้ม แผนจะล่มเพราะเกือบตกเครื่องบิน
แวะมาจอยกันได้นะครับ wasthereonce
จุ๊บๆ
01 เดือนเมษายน
ทำไมหลายๆคนถึงเอาแต่ยี้ ‘จีน' น่าคิดแฮะ
ผมตัดสินใจไปจีนด้วยเหตุผลหลายๆอย่างประกอบกัน หนึ่งในนั้นคือ อยากลองของ!
หลังจากเซอร์เวย์จากคนรอบข้าง ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘อย่าไป เชื่อกุ'
ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ ไหนๆจะเผชิญโลกกว้างทั้งทีจะมาใช้ชีวิตง่ายๆไม่ได้ มันต้องขอแบบจัดหนัก
เอาว่ะ มาลองกันสักตั้ง !
23 วันในจีนที่เป็นช่วงเวลาที่รวบรวมทุกความรู้สึกเท่าที่ผมจะรู้สึกได้ สุข สนุก ตื่นเต้น ระทึกขวัญ หวาดผวา เฉยๆ ธรรมดา เบื่อ เซ็ง ไปจนถึงขั้นเฟลที่สุด
ผมได้รับมิตรภาพน่ารักๆจากชาวจีนตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง ส่วนวันถัดมาก็โดนต้มจนเสียหมา(เพื่อนสนิทเป็นคนนิยามให้) เล่นเอาเซไปหลายวัน
...ไม่เห็นจะแย่อย่างที่หลายๆคนพูดเลย มันก็พอจะจริงอยู่บ้าง แต่ก็ไม่แฟร์เท่าไหร่ที่จะไปเหมารวมเขาว่าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้
คนจีนสกปรก
คนจีนไม่มีมารยาท
คนจีนมักง่าย
ถามว่าได้เจอกับตัวเองจังๆมั้ย ตอบเลยว่า
เจอ-เยอะ-มากกกกกกกกก
พีคสุดของประสบการณ์เขย่าขวัญคือการเดินเข้าห้องน้ำไปเจออาแปะกำลังถ่ายหนักรัวคอมโบตดเป็นจังหวะสามช่า (เกือบจะเต้นตามล่ะ)
(อันที่จริงมันจะไม่พีคติดตาขนาดนั้น ถ้าอาแปะปิดประตูห้องน้ำสักนิดนึง...)
เอิ่ม...
มีเพื่อนเคยถามว่า ‘ไปจีนได้อะไรกลับมาบ้างว่ะ?'
ถ้าตอบว่า ได้รับประสบการณ์จ้า มันจะดูเกร่อ ไม่ชิค ไม่เท่ห์ สำหรับผม งั้นขอข้ามนะ
เอาเป็นว่า ได้รู้ว่าจีนที่หลายๆคนยี้ มีดีกว่าที่คิดแล้วกัน แถมมีดีเยอะแยะมากด้วยนะ แต่ดันโดนเรื่องไม่ดีที่มีเยอะพอกันกลบซะมิดเชียว
จริงๆก็พอกัน ทั้งไทยและจีนก็มีดีและไม่ดีเหมือนกันนั่นแหละ
เท่าที่เจอมา ภาพที่คนจีนบางคนมองเราก็เป็นไปในแง่เดียวกับที่เรามองเขาส่วนนึง
เอาง่ายๆแล้วกัน พอคนจีนรู้ว่าผมเป็นคนไทย ก็เฮละโลรีบชื่นชมประเพณีวัฒนธรรมไทยเรากันยกใหญ่
นี่ ยูๆ การแสดงประจำชาติยูนี่อะเมซิ่งมากเลยนะ ไอชอบมากๆ (สีหน้าฟินสูงสุด)
(ยิ้มกว้างมากพร้อมยืดอก) จริงหรอ ยูชอบอันไหนหล่ะ บ้านไอมีเยอะแยะเลยนะที่เจ๋งๆ
อ๋อ นี่ไงๆๆ ‘ปิง-ปอง-โชว์' หน่ะ
02 เดือน กรกฏาคม
พระเอกหนึ่งในใจคุณยิ่งกว่าเบอร์ดี้ของผมในทริปนี้คือ พี่ม้งสุดแนว
พี่ม้งชื่อ ‘ชัยพร' พี่ม้งเป็นคนพูดน้อย นอกจากขับรถ (บรรทุกผมขึ้นภูทับเบิก) พี่แกก็ยิ้มลูกเดียว
พี่ม้งเรียนจบ คอมธุรกิจ ป.ตรี จากบางกอก มีไร่กะหล่ำที่แกว่าเล็ก (แต่เราว่าไม่)อยู่บนภู
พี่ม้งใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ (ไม่งั้นคงไม่ให้ผมติดรถหรอก)
พี่ม้งแต่งงานแล้วและมีลูกวัยกำลังซนอยู่หนึ่งคน
(แต่นี่ไม่ใช่บ้านพี่ม้ง เมียพี่ม้งนะ )
ผมชอบคุยกับคนระหว่างการเดินทาง คนระหว่างทางมักจะมีสิ่งที่ทำให้ผมตื่นเต้น ประหลาดใจ และฉุกคิดอะไรใหม่ๆได้เสมอ
พี่ม้งก็เหมือนกัน...
ระหว่างทางขึ้นภูทับเบิก ผมชวนพี่ม้งคุยเป็นต่อยหอย ส่วนใหญ่ก็จะเป็นในทำนองที่ว่า ทำไมถึงทำอาชีพปลูกผักขาย?
ทำไมถึงไม่ชอบกรุงเทพ ?
ถ้าไม่สบายบนภูจะทำอย่างไร?
น้ำมันหมดจะทำอย่างไร บนภูมีปั้มมั้ย?
เวลาเรียนหนังสือต้องไปที่ไหน ?
กะหล่ำนี่ขายได้แพงที่สุดกิโลละเท่าไหร่? (170บาท)
ช่วงไหนราคากะหล่ำจะตก?
โดนหักราคาจากพ่อค้าคนกลางเยอะมั้ย?
ก็ไม่รู้จะสงสัยอะไรกันนักกันหนา แต่พี่ม้งก็ยิ้มไปตอบไป
ผมถามไปถามมาจนมาถึงคำถามที่ว่า
‘ภูทับเบิกเจริญเร็วขนาดนี้ ไม่กลัวหรอครับ?'
พี่ม้งเงียบไปอึดใจนึง ก่อนตอบว่า...
‘มันเจริญก็ดีนะ แต่ก็กลัวเหมือนกัน...กลัวชาวม้งคนอื่นๆจะปรับตัวไม่ทัน '
ความเจริญบางครั้งก็น่ากลัว
น่ากลัว...เกินไป
แต่จริงๆแล้ว ผมว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ สิ่งที่มาพร้อมกับความเจริญต่างหาก
คน...
คนนี่แหละที่น่ากลัวที่สุด...
โดยเฉพาะพี่ม้ง
พี่คร้าบบบ ช้าหน่อยพี่ ซิ่งแบบนี้ผมเสียวววววววววววววววววววววววววววว
03 ขอคั่นด้วยการโชว์ทักษะถ่ายรูปยังไงให้ชิคๆคูลๆ
ขออนุญาตพี่ม้ง วิ่งขึ้นไปถ่าย อยากจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับทุ่งกะหล่ำเขียวขจี มีสายหมอกลอยระเรื่อเกือบสัมผัสผิวดิน
โพสท่าเอียงหน้าทำมุม 45 องศากับตากล้องสาวสวยน่ารักคอยกดชัตเตอร์อย่างแผ่วเบา หัวเราะยิ้มแย้มแก้มชมพูระเรื่อ
หัวใจหัวใจหัวใจ
ในความเป็นจริง...
ปล.1 ผมใส่กางเกงแข่งวิ่งครับ พอดีชอบวิ่งมาราธอน เลยอยากโหดไปวิ่งขึ้นเขาดูบ้าง คอนักวิ่งรู้กันเนาะ เค้าล้อเล่น
ปล.2 จริงๆรูปนี้กำลังจะหันหน้ามายิ้มเข้ากล้องครับ แต่ภาพนั้นเบลอ 555555
04 เดือนสิงหาคม
ไม่รู้ทำไมตอนเด็กถึงอยากจะโตเป็นผู้ใหญ่เร็วๆกันนัก
พอโตจะเป็นผู้ใหญ่กับเขาเข้ามาจริงๆ ดันอ้อนวอนขอผลัดผ่อนไปเรื่อย (แหม ใช่ว่าจะทำได้)
ตอนเด็กๆ ‘โตขึ้นอยากเป็นอะไร?' เป็นหนึ่งในคำถามที่ถูกถามบ่อยมากที่สุด
สำหรับผมหรอครับ เยอะแยะเลย
อยากเป็นปลาจะได้ว่ายน้ำเร็วๆ
อยากเป็นนกจะบินไปไกลๆ
อยากเป็นเสือจะได้เท่ห์ๆ
อยากจะเป็นอะไรก็เป็น ไม่ต้องกังวล ไม่มีความกดดัน ไม่มีความคาดหวัง ไม่มีเงื่อนไขใดๆ
ไม่เหมือนผู้ใหญ่ที่ต้องกังวล แบกรับความกดดันจากคนรอบข้าง แบกรับความคาดหวัง พร้อมทั้งเงื่อนไขมากมาย
สนุกแบบเด็กเป็นสิ่งที่แทบจะลืมไปแล้วว่าเป็นยังไง (นี่ขนาดพึ่งจะ 20 ขวบนะเนี่ย)
นานมากแล้วที่ผมไม่ได้รู้สึกแบบนี้
ไม่รู้เหมือนกันว่าทุกวันนี้นี่มีอะไรนักหนา ถึงขนาดยอมปล่อยให้ตัวเองลืมความรู้สึกดีๆแบบนี้ไปได้นานขนาดนั้น
น่าเสียดายจัง...
บทสนทนาระหว่างผมกับเพื่อน
ผม "เห้ย เพิ่งไปเที่ยวสตูลมาหว่ะ อย่างมันส์ โคตรสนุกแบบเด็กอ่ะ"
เพื่อน "ยังไงว่ะสนุกแบบเด็ก?"
ผม "สนุกที่เป็นสนุกจริงๆไงว่ะ แบบอยากเป็นหมูก็ได้เป็น อยากเป็นหมาก็ได้เป็น อยากเป็นไก่ก็ได้เป็นงี้ "
เพื่อน "..."
ผม "ทำไมว่ะ ยัง งง หรอ?"
เพื่อน " ไอ S-U-S เป็นคนอยู่ดีๆ ไม่ชอบนะ"
เออหว่ะ...
05 เดือนสิงหาคม
"โหพี่ ไม่รู้เลยว่าไทยก็มีที่แบบนี้!" ผมกำลังนั่งอ้าปากค้างกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าบนรถกระบะคันหนึ่ง
เจอคนไทยใจดีอีกแล้ว พี่เขารู้ว่าผมมาตัวคนเดียว เลยบอกให้ติดรถจาก อ.บ่อเกลือที่อยู่บนเขา ผ่าน อ.สันติสุข เพื่อไปสู่ตัวเมืองน่าน
(ตอนแรกจะนั่งรถจาก อ.บ่อเกลือ ผ่าน อ.ปัวแล้วไป อ.เมืองน่าน เส้นทางอ้อมกว่า)
นางเอกของเราในทริปนี้คือ พี่นาย (ผู้หญิงนะ)
‘ทำไมถึงมาทำอาชีพนักพัฒนาที่นี่หล่ะครับ?'
ทำไมถึงทำอาชีพนี้หล่ะครับ? เป็นคำถามที่ผมถามบ่อยที่สุดในรอบเกือบๆสามปีที่ผ่านมา
ผมถามมาหลากหลายอาชีพ ไม่ว่าจะคนขับแท็กซี่ ช่างตัดผม คุณครู เกษตรกร และอีกมากมาย
"แล้วพี่ทำงานอย่างนี้ทุกวันไม่เบื่อหรอครับ?" เป็นคำถามที่มักจะตามมาเป็นสเต็ปที่สอง
ที่ชอบถามแบบนี้เพราะผมกลัวว่า เมื่อถึงเวลาที่ผมเข้าสู่ช่วงชีวิตของวัยทำงานจริงๆ ผมจะหลงทาง
ผมเป็นคนเบื่ออะไรง่ายๆ เลยชอบที่จะหาเหตุผลของการทำงานของผู้ใหญ่ อะไรที่ทำให้เขาไม่เบื่อในสิ่งที่ต้องทำอยู่ทุกๆวัน
โอ้ยถ้ากุมีเงิน กุไม่มาตัดผมหลังขดหลังแข็งอย่างนี้หรอก
เออก็จริงหว่ะ...
คำตอบที่ได้รับจากช่างตัดผมสุดจะแนว จริงๆคำตอบส่วนใหญ่จากที่ผมถามมานั่นคือ เพราะ ‘เงิน'
ไม่มีเงินก็เหมือนหมาข้างถนนตัวนึง เป็นประโยคที่แรงแต่ก็จริง ถ้าพูดในแบบหยาบๆผิวเผินอ่ะนะ
สำหรับพี่นาย พี่เขาออกจากงานที่กรุงเทพ เพื่อกลับมาทำงานและใช้ชีวิตที่บ้านเกิด
สบายใจ คือคำตอบเดียว หลังจากถามต่อว่า ‘ทำไมถึงลาออกหล่ะครับ?'
สบายใจเป็นคำตอบเดียวที่ลบล้างข้อแม้อื่นๆที่เป็นปัญหาสารพัดสารเพที่ติดค้างทำให้เราลังเล
เพราะ สบายใจสินะ...
แล้วสิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ เราสบายใจกันจริงๆหรือเปล่านะ...
06 เดือนสิงหาคม
การนัดรวมเพื่อน ม.ปลายนี่ยากเย็นแสนเข็ญจริงๆ นัดกันซะดิบดีแต่สุดท้ายมักลงเอยด้วย ‘ไว้คราวหน้าแล้วกัน'
เพราะฉะนั้น ‘มากันแค่นี้เองหรอว่ะ' มักจะเป็นประโยคที่จะมีใครสักคนถามขึ้นกลางวงทุกครั้ง
คงจะเป็นช่วงโลว์ซีซั่นทำให้ชายหาดเป็นของเรา (ชอบจริงๆ อย่างกับจองไว้เป็นหาดส่วนตัว)
ทะเลแบบเงียบๆนี่แหละ คลาสสิคสุด
ถ้าเป็นสมัยเพิ่งจะจบม.ปลาย แรกๆ การนัดเจอกันมักจะมีคำถามที่ว่า ‘เนื่องในโอกาสอะไรว่ะ' เสมอ
และการนัดกันจะต้องมีกิจกรรมที่ดูเป็นชิ้นเป็นอัน ไม่งั้นทุกคนจะเซย์โนได้
แต่ทุกวันนี้การนัดเจอกันแทบไม่มีใครถามแล้วว่า ‘เพื่ออะไร'...
กุว่าง
เมิงว่าง
Deal !
กิจกรรมที่เคยจะต้องเป็นอะไรที่คัดสรรมาอย่างดี ต้องวิเศษวิโสโก้เก๋เท่ห์สาวกรี๊ด ก็เริ่มลดสเปคลงเรื่อยๆ
อย่างเช่นวันนี้...ไม่มีกิจกรรมอะไรพิเศษนอกจากการนั่งคุยข้างทะเล
ก็แค่คุย..แต่โคตรรู้สึกดีเลยหว่ะ
แต่จะดีกว่านี้ ถ้าไม่ได้นั่งตากแดดตอนดวงอาทิตย์อยู่กลางหัวเนี่ย
เมิงจะมานั่งกลางแดดกันทำม๊ายยยยยยยย เม่าตกใจ
07 เดือนสิงหาคม (อีกแล้ว)
คุณป้าสุนีย์และคุณลุงฟิลลิป
ผมรู้จักทั้งสองท่านจากการไปเที่ยวจังหวัดสตูล
คุณป้าสุนีย์คือเจ้าของรีสอร์ทเล็กๆ(มีบ้านสามหลัง)ที่เรามานอนในคืนนั้น ส่วนคุณลุงฟิลลิปคือแขกที่มาพร้อมภรรยาก่อนผมหนึ่งคืน
ทั้งรีสอร์ทมีพนักงานทั้งหมดแค่สองคนคือ คุณป้าสุนีย์กับสามี ซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ทั้งคู่
ทั้งรีสอร์ทมีแขกเข้าพักแค่สองคนคือ คุณลุงฟิลลิปและภรรยา ซึ่งฟังภาษาไทยไม่ออกทั้งคู่
‘อยากกินหมู ก็วาดหมูลงในกระดาษ อยากพายเรือก็วาดเรือลงบนกระดาษ ไม่ยากหรอก มันก็สนุกดี' คุณลุงฟิลลิปบอกผมยิ้มๆ
ส่วนคุณป้าสุนีย์หรอ OK / Thank you แกว่า แกพูดอยู่แค่นี้ ที่เหลือยิ้มลูกเดียว
รีสอร์ทแห่งนี้จริงๆเป็นแค่บ้านพัก เราอาจจะเรียกว่า โฮมสเตย์น่าจะพอเห็นภาพมากยิ่งขึ้น
ที่นี่เป็นที่พักเล็กๆ เป็นกิจการในครอบครัว
คุณลุงกับคุณป้าดูจะดีใจมากที่มีแขกมาพัก บอกว่าจะได้หายเหงาเสียบ้าง...(ลูกสาวของคุณลุงคุณป้ามาทำงานที่กรุงเทพครับ)
อาหารการกินคุณป้าก็เป็นคนเข้าครัวเอง ส่วนคุณลุงจะคอยอำนวยความสะดวกอื่นๆจำพวกพายเรือนำล่องแก่ง ขับรถขนเรือ เป็นต้น
รูปภาพใบนี้คุณลุงฟิลลิปกำลังสอนคุณป้าสุนีย์ใช้กล้องดิจิตอลเพื่อที่จะถ่ายภาพรวมให้พวกเราก่อนจากลากัน
ดวงตา คำพูด และการกระทำของคุณป้าสุนีย์และสามีตลอดสองวันที่ผ่านมาแสดงให้เห็นถึงความจริงใจที่บรรยายอย่างไรก็ไม่จบ
(สำนวนเริ่มจะนิยาย)
ทุกการกระทำมันออกมาโดยปราศจากการปรุงแต่งใดๆ มันมีแต่ความอิ่มใจที่จะให้ จะดูแล
ผม อยากกลับมาที่นี่อีกครั้ง ไม่ใช่เพราะที่นี่สวยที่สุด ดีที่สุด สบายที่สุด แต่เพราะที่นี่มีป้าสุนีย์...
ฝีมืออาหารคุณป้าสุนีย์นี่เด็ดสะระตี่ ขอ Recommend
08 จะเปิดเทอมแล้ว...
ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี
ไม่รู้ว่าตัวเองทำได้ดีในด้านไหน
ไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้เป็นสิ่งที่เราชอบจริงๆหรือไม่
คิดว่าบางคนที่มีโอกาสได้อ่านกระทู้นี้ก็อาจจะมีความคิดแบบนี้ แว่บ เข้ามาในใจบ้างบางครั้ง
ถามว่า หลังจากผมกลับมาจากการเดินทาง(เที่ยว) ผมค้นพบตัวเองเลยใช่มั้ย
เปล่าครับ ผมก็ยังกลับมาเคว้งเหมือนเดิม
อ้าวว! แต่ครับแต่ แต่หลังจากนั้น
เมื่อเดือนที่ผ่านมาผมมีโอกาสได้เล่าเรื่องราวของการไปแบคแพคจีนผ่านกระทู้นึงในพันทิปซึ่งได้รับผลตอบรับดีมากสำหรับผม
(ขึ้นกระทู้แนะนำในห้องไกลบ้านและบลูด้วยนะ สุดจะซึ้ง)
เห้ย...มันใช่ว่ะ!
เห้ย...ชอบความรู้สึกแบบนี้
เห้ย...อยากเล่า อยากแชร์ เรื่องระหว่างทางที่ไปเจอมา
นี่แหละครับ คือสิ่งที่ผมพึ่งค้นพบจากการเดินทางว่าตัวเองอยากจะทำอะไรต่อไป
มันไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างในหนัง มันไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ
ผมก็ยังเป็นผมอยู่เหมือนเดิม
ผมก็แค่รู้ว่าตัวเองชอบจะทำอะไร อยากที่จะทำอะไรต่อไป
โคตรดีใจครับ
เพราะอย่างนี้นี่เอง เขาถึงพูดกันว่า ‘คนที่รู้ใจตัวเอง เป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลก'
การเดินทางให้อะไรเยอะแยะมากจริงๆครับ
หากกำลังสับสน วุ่นวายใจ ลองยอมให้ตัวเองออกเดินทางดูบ้าง ผมว่ามันช่วยได้แน่ๆ ไม่มากก็น้อยครับ
ขอบคุณและราตรีสวัสดิ์ครับทุกคน
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก : Was there once ,pantip.com
ตามไปเสพเรื่องอื่นๆ ได้ที่ : https://www.facebook.com/wasthereonce