คำนี้ท่านได้แต่ใดมา : Santa Claus
คอลัมน์ คำนี้ท่านได้แต่ใดมา
ผู้เขียน สุกิจ กิตติบุญญานนท์ (I Get English Magazine)
เข้าสู่เดือนธันวาคมซึ่งเป็นเดือนแห่งการเฉลิมฉลอง บรรยากาศหน้าหนาวทำให้เรานึกถึงต้นคริสต์มาส กล่องของขวัญ และที่สำคัญ "ซานตาคลอส" (Santa Claus) ขวัญใจเด็กๆ ก็จะปรากฏตัวขึ้นเพื่อมอบของขวัญให้กับทุกคน โดยเดือนนี้เราจะมาสำรวจที่มาของคำว่า "Santa Claus" ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ตำนานครับ
ตำนานแรกเกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3 โดยได้กล่าวถึงเด็กหนุ่มที่มีชื่อว่านิโคลัส (Nicholas) ซึ่งถึงแม้ว่า Nicholas จะเป็นเด็กกำพร้า แต่จิตใจเขาก็เต็มเปี่ยมไปด้วยน้ำใจในการมอบอาหารและสิ่งของให้กับคนยากจนอยู่เสมอๆ
จนเมื่อ Nicholas โตขึ้นเป็นหนุ่ม เขาได้ออกเดินทางโดยทางเรือไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แต่การเดินทางกลับเต็มไปด้วยอุปสรรค เรือของเขาได้เผชิญกับพายุตลอดการเดินทาง Nicholasจึงขอพรอธิษฐานจากพระเจ้าเพื่อช่วยคุ้มครองให้การเดินทางของเขาผ่านพ้นไปได้ด้วยดี
ในที่สุดเรือของ Nicholas ก็เทียบท่าอย่างปลอดภัยที่เมือง Myra ซึ่งเป็นดินแดนของตุรกีในปัจจุบัน Nicholas จึงต้องการเดินทางไปยังคริสตจักรเพื่อขอบคุณพระเจ้า ด้วยเหตุบังเอิญที่ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว คริสตจักรกำลังอยู่ระหว่างการหาผู้ปกครองเพื่อเข้ามาดูแลคริสตจักร พระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งได้เสนอความเห็นว่า หากในวันรุ่งขึ้นมีบุคคลท่านใดได้ก้าวเข้ามาในคริสตจักรขณะที่มีการเลือกตั้งผู้ปกครอง ก็ให้แต่งตั้งบุคคลท่านดังกล่าวนั้นเป็นผู้ปกครองของคริสตจักรทันที
เมื่อ Nicholas ได้เดินเข้ามาในคริสตจักรเพื่อขอบคุณพระเจ้าที่ช่วยคุ้มครองเขาจากการเดินทาง เขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นบิชอปคนใหม่ทันที และด้วยพื้นเพที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีอยู่แล้ว Nicholas จึงกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรัก ความเมตตาของผู้คนทั่วไปโดยในวันที่ 6 ธันวาคมของทุกปีจึงถือเป็นวันของนักบุญ Nicholas ซึ่งตรงกับวันที่ท่านเสียชีวิตนั่นเองครับ
ตำนานที่สองยังคงเกี่ยวข้องกับ Nicholas เช่นกันครับ แต่จุดเริ่มต้นของตำนานไม่ใช่เป็นเด็กหนุ่ม Nicholas แต่เป็นนักบุญท่านหนึ่งหรือ Saint Nicholasในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 4 ที่อาศัยอยู่ในบริเวณ Myra โดย Saint Nicholas เป็นบุคคลที่มีจิตใจเผื่อแผ่และเมตตาช่วยเหลือผู้คนมากมาย หนึ่งในวีรกรรมที่เป็นที่กล่าวขานมากสุดของ Saint Nicholas เกิดขึ้นในคืนหนึ่ง เมื่อ Saint Nicholas เดินไปตามท้องถนนและได้ยินเสียงหญิงสาวสามคนร้องไห้ดังแว่วมาจากบ้านหลังหนึ่ง สืบสาวเอาความจึงทราบว่าพ่อของหญิงสาวทั้งสามคนนี้อาจจะต้องขายลูกสาวของตนให้กับซ่องโสเภณี หากลูกสาวทั้ง 3 คนไม่สามารถหาสามีมาช่วยเหลือเลี้ยงดูได้
ด้วยความสงสารและเห็นใจ Saint Nicholas จึงอยากเข้าไปช่วยเหลือ โดยทุกครั้งที่ Saint Nicholas ช่วยเหลือใคร มักจะปิดทองบนหลังพระเสมอ กล่าวคือไม่อยากให้ผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือรู้ตัว Saint Nicholas จึงแอบนำถุงที่ใส่ทองคำไปวางไว้ในบ้านของหญิงสาวทั้งสามคน ผลลัพธ์ที่ได้คือทำให้ฐานะของครอบครัวนี้ดีขึ้น รอดพ้นจากความยากจนได้ในทันทีนอกเหนือจากหญิงสาวทั้งสามคนแล้ว Saint Nicholas ยังได้ช่วยเหลือผู้คนอีกมากมาย ทั้งนักเดินทาง โจรขโมย และเด็กๆ จากจุดนี้เอง ทำให้การมอบของขวัญให้กับผู้คน กลายมาเป็นประเพณีที่ถือปฏิบัติกันมาโดยในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 12 เริ่มมีประเพณีการมอบของขวัญ ไม่ว่าจะเป็นการมอบขนมหรือผลไม้ โดยจะแอบนำของดังกล่าวไปใส่ในถุงเท้าให้กับบุคคลที่เป็นที่รักด้วย
จากทั้ง 2 ตำนานที่ได้กล่าวมานั้น ทำให้ผู้คนทั่วแผ่นดินยุโรปยกย่อง Saint Nicholas ในฐานะบุคคลที่มีความเมตตา แต่เนื่องด้วยแผ่นดินยุโรปกินพื้นที่กว้างขวาง ผู้คนที่อาศัยตามพื้นที่ต่างๆ ที่นับถือ Saint Nicholas คนเดียวกันก็อาจจะออกเสียงชื่อของนักบุญแตกต่างกันออกไป ดังเช่นในบริเวณแถบทะเลเหนือบริเวณประเทศเนเธอร์แลนด์ จะออกเสียงเรียกนักบุญท่านดังกล่าวว่า Sinter Klaas (หรือ Sint Klaas) เป็นต้น จนเมื่อเกิดการอพยพของชาวยุโรปครั้งใหญ่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 ที่เดินทางข้ามฟากผ่านมหาสมุทรแอตแลนติกไปยังแผ่นดินอเมริกา ชาวเนเธอร์แลนด์ก็เป็นชาวยุโรปกลุ่มหนึ่งที่อพยพเดินทางไปด้วย โดยเริ่มต้นตั้งรกรากบนบริเวณ New Amsterdam (หรือNew York ในปัจจุบัน) พร้อมกับคำว่า Sinter Klaasที่ติดปากชาวเนเธอร์แลนด์ไปด้วย
นานวันเข้าชื่อของนักบุญ Saint Nicholas ก็เพี้ยนจาก Sinter Klass ในภาษาดัตช์กลายมาเป็นSanta Claus ในภาษาสากล แต่ความใจบุญและมอบสิ่งของเพื่อช่วยเหลือผู้คนก็ยังคงไว้ไม่เปลี่ยนแปลง และนี่ก็คือที่มาของคำว่า "Santa Claus" นั่นเองครับ
และท้ายที่สุดขอปิดท้ายด้วยคำว่า "Merry Christmas and Happy New Year!!" ครับ