คุยกับคุณหมอหนุ่ม เจ้าของไอเดียร้อนฉ่า "สอบปฏิบัติ" การใช้ถุงยางในห้องเรียนวัยใส

คุยกับคุณหมอหนุ่ม เจ้าของไอเดียร้อนฉ่า "สอบปฏิบัติ" การใช้ถุงยางในห้องเรียนวัยใส

คุยกับคุณหมอหนุ่ม เจ้าของไอเดียร้อนฉ่า "สอบปฏิบัติ" การใช้ถุงยางในห้องเรียนวัยใส
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โดย สรวิศ รุ่งเลิศมณีพงศ์

ถือว่าเป็นหนึ่งในกระแสสังคมที่เรียกเสียง "ฮือฮา" เมื่อมีการเสนอให้มีการตั้งจุดจัดจำหน่ายถุงยางอนามัยภายในโรงเรียน จนเกิดข้อถกเถียงกันระหว่างคนที่เห็นด้วย-ไม่เห็นด้วย ทั้งครู ผู้ปกครอง นักเรียน และประชาชนทั่วไป

และดูท่าว่าเรื่องของ "ถุงยาง" ยังจะไม่จบง่ายๆ

เพราะไม่นานนักในโลกออนไลน์ ได้เกิดแคมเปญรณรงค์ "สอบปฏิบัติ" การใช้ถุงยางอนามัยแก่เด็กวัยเรียนตามมาติดๆ มีเสียงสนับสนุนเป็นจำนวนมาก โดยมีคนลงชื่อผ่านทางเว็บไซต์ Change.org มากถึง 12,693 คน และดูท่าว่าจะมีคนลงชื่อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

จนเรียกได้ว่าเป็นคลื่นอีกระลอกหนึ่งที่ถาโถมใส่สังคมไทย พุ่งเข้าท้าทายความเชื่อเดิมในวันที่โลกหมุนเร็วขึ้น

ที่สำคัญคนต้นคิดเรื่องนี้ เป็นถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน "สูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา"

"นพ.ประสิทธิ์ วิริยะกิจไพบูลย์" คือบุคคลดังกล่าว

หลังจากที่ทำงานด้านนี้มาถึง 7 ปีเต็มในระบบราชการ สิ่งที่เขาประสบและคลุกคลีอยู่บ่อยครั้งคือปัญหา "ท้องในวัยเรียน" ส่งผลทำให้ตัวเขาตั้งคำถามอย่างหนักกับรูปแบบการศึกษาในเรื่อง "เพศสัมพันธ์" ของสังคมไทย

นพ.ประสิทธิ์เล่าว่า เมื่อเขาต้องพบกับคุณพ่อ-แม่วัยรุ่น ที่มาฝากครรภ์ เขามักจะตั้งคำถามว่ามีความรู้เรื่องถุงยางอนามัยหรือไม่ ซึ่งเกือบทั้งหมดตอบกลับมาว่า "มี"

แต่พอถามว่าใช้อย่างไรพวกเขากลับตอบมาว่า "ใช้ไม่เป็น" หรือใช้เป็นแต่ก็ "ใช้ผิดวิธี" ถือเป็นปัญหาที่ผมว่าสำคัญมากๆ ในระบบการศึกษาไทย

ในโลกปัจจุบัน การติดต่อกันระหว่างชายและหญิงเป็นไปได้ง่ายขึ้น ดังนั้น โอกาสที่เด็กชายและเด็กหญิงจะได้พบกันและมีเพศสัมพันธ์กันนั้น จึงมีสูงขึ้น

"พ่อแม่ไม่สามารถดูแลเด็กได้ตลอด 24 ชั่วโมง" นพ.ประสิทธิ์บอก

มีหลายกรณีที่ผู้ปกครองไม่เชื่อว่าลูกของตนเองจะตั้งครรภ์ เพราะเชื่อว่าตนเองได้ดูแลอย่างใกล้ชิด คอยไปรับ-ส่งตลอด ไม่เคยให้ไปเที่ยวกลางคืนหรือไปค้างคืนที่อื่น อีกทั้งลูกก็เป็นเด็กเรียนดี

แต่สุดท้ายผลตรวจออกมาว่าเด็กตั้งครรภ์ได้ 5 เดือน คือคำตอบที่ผู้ปกครองได้รับพร้อมกับน้ำตาแห่ง "ความเสียใจ" ที่ไหลอาบแก้ม

...เพราะช่วงเวลาเพียงแค่พักกลางวัน ในห้องน้ำ ก็เพียงพอแล้วที่จะก่อเกิดอีกชีวิตหนึ่งขึ้นมา

กรณีตัวอย่างของเด็กนักเรียนชั้น ม.5 เธอเป็นเด็กเรียนดี แต่ต้องสูญเสียอนาคตทางการเรียนเพียงเพราะตั้งท้อง แม้ว่าทางครอบครัวตั้งใจที่จะให้ลาเรียนจนกว่าจะคลอด แต่สุดท้ายกลับถูกบีบให้ด้วยประโยคที่ว่า "การตั้งครรภ์นั้นผิดกฎของโรงเรียน นักเรียนต้องลาออก"

ครั้้นจะหาโรงเรียนใหม่ก็ยาก เมื่อจะกลับมาเรียนซ้ำชั้นที่โรงเรียนเดิมก็เรียนต่อไม่ได้เนื่องจากสภาพแวดล้อม

เป็นอีกประเด็นที่จุดความคิดเรื่อง "การให้โอกาสกับเด็กที่ตั้งครรภ์ และปรับทัศนคติของครูบางคน ในการดูแลเด็กที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียนให้เป็นเหมือนกับเด็กปกติ" คอยปรามเพื่อนๆ ที่มาล้อเลียน มากกว่ากลายเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้เด็กต้องหมด "อนาคต" เสียเอง

"การให้ดร็อปหรือซ้ำชั้นไปโดยปริยายดูไม่เป็นธรรมกับเด็กเท่าไรนัก เพราะไม่มีงานวิจัยชิ้นใดบนโลกนี้ ที่บอกว่า การตั้งครรภ์ทำให้เด็กโง่ลงจนเรียนหนังสือไม่ได้"

"โลกปัจจุบันเปลี่ยนไปแล้ว เราเองต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย" นพ.ประสิทธิ์ย้ำ

แคมเปญ "สอน-สอบปฏิบัติ การใช้ถุงยางอนามัยให้เด็กนักเรียน" จะเป็นอย่างไร เจ้าของแนวคิด มีมุมมองอย่างไร

ติดตามต่อได้ในบรรทัดต่อไป

- จุดเริ่มต้นของความคิดนี้

จุดเริ่มต้นของความคิดนี้มาจากประสบการณ์ส่วนตัว ในฐานะแพทย์ชำนาญการด้านสูตินรีเวช ได้มีโอกาสได้พบกับกลุ่มคุณแม่ที่มาฝากท้องหลายๆ คน ซึ่งกลุ่มหนึ่งที่พบบ่อย คือกลุ่มเด็กที่ที่ตั้งครรภ์ในวัยเรียนหรือวัยรุ่น ที่มักจะตั้งครรภ์โดยที่ไม่ได้ป้องกัน และไม่ได้ตั้งใจ พอเจอบ่อยๆ เข้า จึงเกิดความสงสัยว่าโรงเรียนก็น่าจะสอนวิธีคุมกำเนิด แต่ทำไมยังคงมีคุณแม่วัยรุ่นมาฝากท้องกันมาก

ช่วงหลังๆ ด้วยความสงสัยเมื่อมีโอกาสจึงถามคุณแม่วัยรุ่นหลายๆ คน ว่าคุมกำเนิดหรือเปล่า เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จะตอบว่าไม่ได้คุม ความรู้โดยทั่วไปของเด็กๆ คือรู้ว่าถุงยางอนามัยคุมกำเนิดได้ แต่พอถามว่าใช้อย่างไร เกือบร้อยทั้งร้อยตอบว่าใช้ไม่เป็น ในที่นี้รวมไปถึงพ่อของเด็กในท้องที่มาด้วยคือ มีความรู้แต่ด้านปฏิบัติปรากฏว่าทำไม่ถูก

สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า การศึกษาของเรามีการสอนก็จริง เพียงแต่ว่าการสอนอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เด็กจำได้ การที่จะทำให้เด็กจำได้จำเป็นที่จะต้องมีการสอบ เพราะว่าถ้ามีการสอบเด็กจะเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องทำให้ได้ อย่างเช่น บาสเกตบอล เรายังมีสอบชู้ตลูก เลี้ยงลูก เช่นเดียวกับเรื่องคุมกำเนิด หรือเพศศึกษา มันก็เป็นวิชาที่ปฏิบัติเหมือนกัน ดังนั้นควรที่จะมีการสอบปฏิบัติ ทั้งหมดจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่จะรณรงค์แคมเปญดังกล่าว

- มาเป็นกระแสได้อย่างไร

(ยิ้ม) ช่วงแรกสุดที่ผมเจอเรื่องราวที่เล่ามา ผมก็นำประสบการณ์ของผมไปเขียนลงในเว็บไซต์พันทิป ซึ่งปกติแล้วมักจะมีกระทู้ที่ถามว่า "แบบนี้จะท้องมั้ย" "ทำแบบนี้ท้องรึเปล่าครับ" ซึ่งจะพบเห็นกันอยู่บ่อยๆ ผมจึงนำประสบการณ์ที่ผมได้ดูแลคุณแม่วัยรุ่นไปแชร์ในเว็บไซต์พันทิป ว่าเป็นเพราะอะไร มีปัญหาอย่างไรบ้าง และได้นำเสนอแนวคิดของผมไปด้วย ซึ่งปรากฏว่ามีผลตอบรับกลับมาเยอะมาก คือ ส่วนใหญ่มักจะมาคอมเมนต์ในแนวทางเดียวกันว่า เด็กๆ ส่วนมากไม่มีประสบการณ์ที่จะใช้ คือรู้ว่าควรใช้ รู้ว่าจำเป็นต้องใช้ แต่เนื่องจากใช้ไม่เป็น ไม่เคยใช้มาก่อน จึงทำให้เวลาที่จะต้องใช้จริงๆ เลยไม่ได้ใช้ หรืออาจจะใช้ไม่ถูกวิธี เลยทำให้ท้อง สุดท้ายจึงกลายมาเป็นแคมเปญในเว็บไซต์ Change.org ในที่สุด

- กุญแจสำคัญของโครงการนี้

จากประโยคที่ว่า "ความรู้มีแต่ปฏิบัติไม่ได้" ผมเลยมานั่งนึกย้อนไปว่า เราจะทำอย่างไรให้เด็กมีทั้งความรู้และปฏิบัติเป็น ปฏิบัติได้รวมถึงต้องไม่อายด้วย คือบางทีเด็กรู้วิธีทำแต่ดันไปอายตั้งแต่ขั้นตอนที่จะซื้อ อายตั้งแต่เจอหน้ากับแฟนก่อนที่จะใช้จริง ดังนั้น จะทำอย่างไรให้เด็กที่จะไม่อาย จึงคิดว่าควรจะต้องมีการ "เปิดเผย" คือทุกคนจะต้องรู้เท่าๆ กัน ครั้นจะให้พ่อแม่สอนที่บ้าน พ่อแม่แต่ละคนก็มีพื้นฐานความรู้ที่ไม่เท่ากัน ดังนั้น "คุณครู" จึงเป็นกุญแจสำคัญที่จะสอนเด็ก และต้องมีการสอบเพื่อทำให้เด็กมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น และสามารถที่จะนำมาใช้ได้อย่างถูกต้อง

- วิธีการ "สอบ"

อย่างวิชาพละมีสอบกีฬาฟุตบอล สอบเตะลูก ส่งลูก เตะทีละสามคน ห้าคน คุณครูก็จะคอยดูว่าผ่านไม่ผ่าน ผมว่าเราก็สามารถใช้กับการสอบแบบนี้ได้ ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ก็มีอยู่เพียงสองอย่าง คือ อวัยวะเพศปลอม และถุงยางอนามัย แค่นั้นเอง ใส่และถอดใช้เวลาสอบต่อคนไม่เกิน 3 นาที ซึ่งจริงๆ แล้ว วิธีสอนใส่สอน-ถอดในโรงเรียนแพทย์ทั่วไปก็มีสอบอยู่แล้ว นักศึกษาแพทย์ทุกคนจะต้องรู้และต้องสอบ ซึ่งจุดนี้ผมคิดว่าจะต้องนำมาประยุกต์ใช้กับเด็กมัธยมต้น

ซึ่งวิชาเพศศึกษาแบบนี้ คนอย่างน้อย 90 เปอร์เซ็นต์ จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างแน่นอนแทบทุกคน

- แล้วเด็กผู้หญิง?

คือจริงๆ แล้วถุงยางอนามัยสำหรับเพศหญิงก็มี แต่ยังไม่เป็นที่นิยมในประเทศไทยเท่าไรนัก ผมเองมองว่าสอนสิ่งที่สามารถหาซื้อได้ง่ายๆ คือ ถุงยางอนามัยผู้ชาย ซึ่งผู้หญิงเองก็สามารถที่จะใส่ให้ผู้ชายเป็น ผู้ชายก็ใส่ให้ตัวเองเป็น อันนี้น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

- ยกเลิก "กล้วย" และ "แตงกวา"?

ประสบการณ์ของผมในวัยเรียนตอนมัธยม ที่สอนก็จะนำแตงกวา กล้วย มาสอนที่หน้าชั้นเรียน และนำถุงยางอนามัยมาใส่ ซึ่งวิธีนี้สำหรับเด็กผู้ชายไม่มีปัญหา เพราะสามารถจินตนาการตามได้ แต่สำหรับผู้หญิงที่ไม่เคยเห็นอวัยวะเพศของผู้ชายเลยจินตนาการไม่ออกนะครับ ก็เป็นที่ฮือฮาว่าของผู้ชายเป็นแบบไหนยังไง

ผมว่าสุดท้ายแล้วเป็นอวัยวะเพศปลอมไปเลยดีกว่า ผู้หญิงจะได้รู้ว่าสรีระผู้ชายจริงๆ เป็นแบบนี่้นะ เวลาใช้ใส่แบบนี้ เวลาถอดถอดแบบนี้ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่หน้าอายหรอกครับ เพราะว่ามันมีติดกับทุกคนอยู่แล้ว และเป็นสิ่งที่เด็กควรที่รู้เพื่อที่จะใช้ได้อย่างถูกต้อง

- คิดว่าจะลดปัญหาได้จริงหรือ?

ผมคิดว่าการให้มีการสอบปฏิบัติ เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการช่วยลดปัญหา เพราะว่าเราต้องคิดด้วยว่ามีเด็กท้อง หรือคุณแม่วัยรุ่นอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในระบบการศึกษา ซึ่งโครงการนี้ก็ไม่สามารถที่จะครอบคลุมไปถึงพื้นที่นั้นได้ แต่ว่าอย่างน้อยคนที่มีโอกาสได้รับการศึกษาก็ควรที่จะใช้เป็น เพราะว่ากรณีที่เป็นจุดสำคัญที่ผมได้โพสต์ และเป็นที่พูดถึงในโลกออนไลน์ คือ เป็นกรณีของเด็กเรียนดี ที่มีอนาคตไกล แต่มีเพศสัมพันธ์และท้องโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งทางโรงเรียนก็บีบให้หยุดเรียนไปก่อน พอจะกลับมาเรียนต่อก็เรียนต่อไม่ได้แล้ว มันกลายเป็นคำถามว่าทำไม เด็กเรียนดีถึงคุมกำเนิดไม่เป็น เพราะความจริงหากรู้จักที่จะคุมกำเนิด อนาคตการศึกษา หรืออนาคตของชีวิตก็อาจจะไปได้ไกลกว่านี้

ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าถึงการศึกษา ในตอนนี้ผมเองก็พยายามที่จะคิดหาวิธีการในการที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้ต่อไป

- กระแสต้าน

แน่นอนอยู่แล้วครับว่าจะต้องมี คือ ผมอ่านคอมเมนต์ที่มีความเห็นแย้งตลอด ซึ่งโดยมากจะเหมือนกับแคมเปญหนึ่งก่อนหน้านี้ ที่รณรงค์ให้มีการขายถุงยางอนามัยในโรงเรียน ก็มีกระแสต้านออกมาว่าเป็นเหมือนการชี้โพรงให้กระรอก เหมือนกับว่า "มีถุงยางแล้วเธอไปมีเพศสัมพันธ์กันสิ"

แต่ตามความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ผมมองว่าถึงแม้ว่าเราจะไปชี้หรือไม่ชี้ เด็กก็ไปมีเพศสัมพันธ์กันอยู่แล้ว ถึงแม้เราจะไม่สอน เขาก็ทำ ถึงแม้เราจะไม่ยั่วยุ หรือไม่ได้ส่งเสริม เขาก็ทำ เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิตอยู่แล้ว ทีนี้สัญชาตญาณมันไม่ใช่สิ่งผิด การมีเพศสัมพันธ์ไม่ใช่สิ่งผิด แต่การมีเพศสัมพันธ์โดยที่ไม่ได้ป้องกันทั้งที่ยังไม่พร้อม ผมถือว่าสิ่งนี้แหละคือสิ่งที่ผิด

อาจจะผิดที่ตัวเด็กด้วยส่วนหนึ่ง แต่ผิดที่ "ระบบ" การให้ความรู้ การศึกษาของเด็กด้วย

- รู้สึกอย่างไรกับความคิดที่แตกต่าง

ผมเคารพความคิดเห็นที่แตกต่างของคนอื่นๆ เพราะทุกๆ เรื่องต้องมีคนที่เห็นต่างกันอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเห็นต่างกัน แล้วถ้ามีประโยชน์ก็นำมาปรับกับความคิดของเรา ผมเองก็รับฟังแล้วยอมรับความคิดเห็นของทุกคน

แต่ความคิดที่จะสอนเด็กจำเป็นที่จะต้องมีกัน และเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

- จากนี้จะมีการผลักดันเรื่องนี้อย่างไรต่อไป

เบื้องต้นอยากจะนำเรื่องนี้ไปเสนอยังต้นสังกัดของผม คือ กระทรวงสาธารณสุข หรือ สสส. อาจจะจัดเป็นแคมเปญเล็กๆ ก่อน หรือดูว่ามีเส้นทางไหนที่จะไปทางกระทรวงศึกษาธิการได้ เพราะว่าเด็กมัธยมเองจะมีคาบเพศศึกษาอยู่แล้ว เราอาจจะนำไปประยุกต์ ปรับเปลี่ยน จากในหลักสูตรเดิมที่จะสอนว่า Voyeurism คืออะไร คือคนที่ชอบถ้ำมอง Bisexual คืออะไร คือคนที่มีเพศสัมพันธ์ได้กับสองเพศ ซึ่งมักจะสอนทฤษฎีแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ มันอาจจะมีประโยชน์ แต่แน่นอนว่าไม่เท่ากับการปฏิบัติ ดังนั้นเราควรที่จะให้ความสำคัญกับเรื่องการปฏิบัติมากขึ้น เพราะเรื่องเพศศึกษาเป็นเรื่องของการปฏิบัติไม่ใช่เรื่องของทฤษฎีสักเท่าไร

- วัยเรียนกับเซ็กซ์

ดีที่สุดคือมีเซ็กซ์เมื่อพร้อม แต่เราต้องดูแลคนที่หักห้ามใจตัวเองไม่ได้ด้วย อย่างน้อยก็ต้องให้เขารู้จักป้องกันตัวเองให้เป็น ไม่มีเพศสัมพันธ์ในวัยเรียนดีที่สุด แต่ถ้ามีก็ต้องป้องกันตัวเองให้ดีที่สุดเหมือนกัน เราไม่ได้คาดหวังว่าจะให้เด็กเรียนไปใช้ตอนนั้นเลย แต่เราคาดหวังว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นเด็กจะสามารถนำมาใช้ได้จริง ใช้เป็น อย่างเช่น เรามีถังดับเพลิงไว้ในบ้าน หรือที่ทำงาน เราไม่ได้คาดหวังว่าเราจะใช้เป็นเพื่อนำมาดับไฟวันนี้ แต่เราต้องเรียนรู้วิธีการใช้ถังดับเพลิง เพื่อเวลาเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นมา เราจะสามารถนำถังดับเพลิงมาใช้ป้องกันเหตุร้ายแรงได้

- ปัญหาท้องในวัยเรียนกับวัฒนธรรมแบบ "ปิด"

มันเป็นไปตามหลักจิตวิทยาอยู่แล้ว ยิ่งอะไรที่เห็นได้ไม่บ่อย นานๆ เห็นที คนไม่ค่อยจะรู้ มันยิ่งน่าสงสัย มันยิ่งอยากที่จะรู้ ถ้าสมมุติเราเปิดเผยให้อยู่ที่แจ้ง ให้ทุกคนได้รู้เท่าๆ กัน ปัญหาเหล่านี้ก็จะลดน้อยลง อย่างเช่น ถ้าสมมุติผู้ชายไม่อยากใช้ แต่ผู้หญิงมีความรู้เรื่องของถุงยางอนามัย รู้ว่าต้องใช้และใช้เป็น อัตราการใช้ถุงยางอย่างถูกวิธีก็จะมากขึ้น อัตราการท้องก็จะลดน้อยลง

ตอนนี้โลกเปลี่ยนอะไรมันก็เปลี่ยน ถามว่าแต่ก่อนถ้าเราไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้ มันก็อาจะเหมาะสมกับบริบทของสมัยก่อน แต่สมัยนี้มีอินเตอร์เน็ต มันปิดต่อไปไม่ได้ เราก็ควรที่จะมีการปรับหลักสูตร ปรับแนวคิดของเราเพื่อตามโลกที่เปลี่ยนไปด้วย เราคงไม่ใช้เกวียนในยุคปัจจุบันใช่มั้ยครับ เพราะเดี๋ยวนี้เราก็ใช้รถแล้ว

เฉกเช่นเดียวกันแต่ก่อนเราอาจะจะสอนเด็กด้วยวิธีการ "ปิด" ซึ่งก็เป็นวิธีของแต่ก่อน แต่ถามว่าปัจจุบันยังใช้ได้อยู่หรือไม่ ผมคิดว่าน่าจะต้องเปลี่ยน เพราะว่าโลกก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ และเราเองควรที่จะต้องปรับตัว

- ปรับทัศนคติคนขายถุงยาง?

เด็กที่ไปซื้อถุงยางอนามัยมาใช้ เป็นเด็กที่มีความ "กล้า" และอยากให้คนขายถุงยางมองเด็กเหล่านี้ไม่ใช่เด็กที่แปลกหรือเป็นเด็กเลว เพราะว่าหนึ่งคือเขารู้จักที่จะป้องกันตัวเอง และสองคือเขารู้จักที่จะป้องกันคนอื่นด้วย ซึ่งทัศนคติที่มีต่อเด็กที่ไปซื้อถุงยางอนามัยอาจจะต้องเปลี่ยน

ต้องปรับทัศนคติของเด็กที่จะกล้าซื้อ กล้าใช้ ส่วนคนขายก็ต้องปรับทัศนคติไม่ใช่เห็นเด็กมาซื้อก็ทำหน้าตายิ้มแบบ (เลิกคิ้วและหัวเราะ)

- เป้าหมายต่อไปหลังจากแคมเปญนี้

ถ้าเรื่องนี้สำเร็จแล้วนะ (หัวเราะ) คือหมายถึงบรรจุเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนแล้ว คงจะเป็นเรื่องของการฝากครรภ์ที่มีคุณภาพ ปัจจุบันคนไทยทุกคนสามารถที่จะฝากครรภ์ฟรีได้กับโรงพยาบาลรัฐทุกที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ถ้าเป็นคนไทยมีบัตรประชาชนก็สามารถฝากครรภ์ได้ฟรี ก็อยากที่จะส่งเสริมตรงนี้ จากประสบการณ์ของผมพบว่าคนไทยมาฝากท้องน้อยกว่าคนต่างชาติที่มาอยู่เมืองไทยเสียอีก ซึ่งบางทีอาจจะกังวลเรื่องค่าใช้จ่าย แต่อยากบอกว่าจริงๆ แล้วไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ

ฝากครรภ์ฟรี ยาบำรุงครรภ์ฟรี ที่ยังไม่รู้กันเป็นเพราะการประชาสัมพันธ์ยังคงไม่ทั่วถึง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook