จุดที่เกินคาดของ "เพื่อน คณิน"

จุดที่เกินคาดของ "เพื่อน คณิน"

จุดที่เกินคาดของ "เพื่อน คณิน"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อาจจะไม่ได้โด่งดังเปรี้ยงปร้างในเวลาอันรวดเร็ว แต่ถ้าวัดจากฝีไม้ลายมือดูดีขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ละครเรื่องแรก ใต้ร่มใบภักดิ์ ชุด ลูกไม้ของพ่อ ไล่มา รักนี้เจ๊จัดให้, สุดแค้นแสนรัก และ ใต้เงาจันทร์ ซึ่งเพิ่งลาจอไป คงต้องยอมรับว่า เพื่อน-คณิน ชอบประดิถ นับเป็นหนึ่งในนักแสดงดาวรุ่งจาก ช่อง 3 ที่น่าจับตาของ พ.ศ.นี้

"ตอนแรกแค่อยากลองดูเฉยๆ อยากลองทำว่าเราทำได้หรือเปล่า ก็คืออยากทำให้ป๊ากับแม่ภูมิใจด้วย" หนุ่มวัยย่าง 25 ว่ายิ้มๆ ถึงเหตุผลในการเดินเข้าสู่วงการบันเทิง วงการที่ค่อนข้างท้าทายชายหนุ่มขี้อายขั้นสุดอย่างเขา

โดยตอนนี้ก็ 4 ปีแล้วที่ลองพิสูจน์ความสามารถตัวเอง ด้วยการเริ่มจากเดินแบบ เล่นมิวสิกวิดีโอ หนังสั้น และแสดงละคร ตามลำดับ

"ทุกอย่างมันสอนเพื่อนหมด"

"ทั้งการเดินแบบมันก็สอน เพราะการเดินแบบมันก็ต้องกล้าแสดงออกระดับนึง แล้วพอมาเอ็มวีเริ่มมีคนอื่น เริ่มมีความสัมพันธ์ในฉาก มันก็จะสอนเรา พอมาเป็นละครเริ่มมีบทพูด เริ่มมีการพูด ละครก็จะได้ทำอะไรหลายๆ อย่าง"


ขณะเดียวกันก็พิสูจน์ว่าเขา "ทำได้" แม้แรกๆ จะไม่ดีนัก แต่ก็ค่อยๆ พัฒนาจนดีขึ้นเรื่อยๆ

ก่อนจะพีกสุดตอน "สุดแค้นแสนรัก" ที่ทำให้คนรู้จักเพิ่มขึ้นอีกเยอะ

"ไปไหนคนก็เรียกยงยุทธ ยงยุทธ แล้วเราก็ดีใจนะ ถึงเขาไม่รู้จักชื่อเราก็จริง แต่เขารู้จักยงยุทธเราก็ดีใจแล้ว" เพื่อนว่าพลางหัวเราะ

ถึงอย่างนั้นก็ย้ำ "แต่มันก็ยังไม่ได้ดีที่สุดหรอก"

ด้วย "ทุกบทมันก็ค่อนข้างท้าทายเพื่อนหมดเลย เพราะเพื่อนไม่ได้ใช้ตัวเพื่อนเองเข้าไปเล่นเลย เราจะให้เราไปเป็นตัวละครนั้นมากกว่า"

"มันก็ต้องปรับทุกเรื่อง"

อย่างเรื่อง รักพลิกล็อค ที่กำลังถ่ายทำ ต้องปรับไปเป็นเจ้าของโรงเรียนขี่ม้า "อาชาคลับ" ผู้หล่อรวย มีเสน่ห์กระชากใจสาวๆ ส่วนเรื่อง ที่หนี้มีรัก นั้นพลิกกลับไปเป็นนักทวงหนี้

คนเล่นเลยว่า "ประทับใจทุกบทครับ"

"ทุกบทมันให้บทเรียน มันให้เราได้รู้จักอะไรใหม่ๆ หลายอย่าง อย่างใน ′รักพลิกล็อค′ ก็ต้องไปทำความคุ้นเคยกับม้า แล้วก็มีเต้นแทงโกในเรื่อง มันก็ได้หลายอย่าง"

ฉะนั้น เพื่อความมั่นใจเขาเลยต้องขอเวิร์กช็อปปรับคาแร็กเตอร์ก่อนจะเล่นทุกเรื่อง แถมเวลาบทก็ต้องอ่านแบบละเอียดยิบ ซึ่งนี่อาจเป็นเหตุผลให้กลายเป็นปีทองมีงานละครต่อเนื่อง

"คือก็ดีมากมาตั้งแต่ละครเรื่องแรกแล้วครับ" เขาบอกยิ้มๆ

"กลายเป็นว่าจบละครเรื่องแรกมีเรื่องที่ 2 ต่อ 2 จบปุ๊บก็มี 3, 4 ต่อเข้ามา 5, 6 ก็คือมันดีมาก ก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ทางช่อง 3 ที่ให้โอกาส"

ซึ่ง "เราไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง"

"เขาคงเห็นมุมมองในการทำงานเรามั้งว่าเวลาทำเป็นยังไง คือจริงๆ แล้วเวลาทำงานเพื่อนเป็นคนตั้งใจมาก อย่างการอ่านบทเพื่อนก็จะอ่านละเอียดมาก"

นั่นเพราะมองไว้ว่า "ผลงานที่จะออกมาต่อๆ ไป ไม่อยากให้มันอยู่นิ่งกับที่"

"อยากให้พัฒนาไปเรื่อยๆ ไม่ใช่แบบมาเรื่องนี้เพื่อนดูดร็อปลงไป อีกเรื่องนึงดร็อปลงไปอีก ทำไมการแสดงมันอยู่กับที่ ทำไมมันลงนะ อยากให้แบบ เฮ้ย! มันดีขึ้นนะ เฮ้ย! เรื่องนี้ดีขึ้น เฮ้ย! เรื่องนี้เจ๋งอ่ะ อยากให้เป็นแบบนั้นมากกว่า"

ขณะเดียวกัน "ตอนนี้ก็มีสิ่งนึงที่อยากทำ ก็คือทำบทละคร"

"อยากเขียนบทเองสักเรื่องนึง แต่ก็คงต้องหาเวลา ก็คงต้องฝึกอีกเยอะด้วย"

ด้วยสำหรับเขาตอนนี้ ไม่ว่าจะเบื้องหน้าเบื้องหลังก็ยังต้องเดินหน้าพัฒนาไปอีก

นั่นไม่ใช่ว่าต้องการแข่งขันกับดาราในวงการที่มีมากมายนับไม่ถ้วน แต่กำลังพยายามแข่งขันกับตัวเอง

เพราะ "แค่แข่งกับตัวเอง กว่าจะถีบตัวเองออกมาได้ขนาดนี้ เพื่อนว่าเพื่อนก็ชนะตัวเอง"

"มันเลยจุดที่เพื่อนคิดมาเยอะแล้ว"

ยิ้มเจ้าเสน่ห์ - ผมเจ้าปัญหา

"ส่วนใหญ่เขาบอกรอยยิ้มมั้ง น่าจะอย่างนั้น" เพื่อนบอกแบบไม่มั่นใจเมื่อถูกถามถึงเสน่ห์ประจำตัว

เพราะเขานั้น "ก็ไม่รู้เหมือนกันครับ"

"แต่ก็ดูจากแฟนคลับที่บอกมาว่ายิ้มหน่อยๆ ยิ้มแล้วคงโอเคกว่า"

ต่างจากเรื่อง "ผม" ซึ่งเอ่ยอย่างมาดมั่นว่าชอบแบบยาวๆ ฟูๆ

"คือมันเป็นตัวเรา" เขาให้เหตุผล

แต่พอมาเล่นละครก็จำเป็นต้องตัดและยืดเพื่อให้เข้ากับบทบาท

ถึงอย่างนั้นไม่วายบ่น "มันแปลกๆ ที่ผมเราตรง เราหยิกมาทั้งชีวิตแล้ว"

"เวลาทำผมออกจากบ้าน คนก็จะงงๆ ยิ่งแม่ก็จะมองแบบงงๆ"

ดังนั้น ถึงจะเริ่มชินกับผมสั้นเบาสบายหัว แต่เขาว่า..ถ้ามีโอกาสก็จะไว้ผมยาว



ที่มา : นสพ.มติชน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook