"สิงค์โปร์"คว้าการเรียน ม.ปลายดีสุดในโลก "เวียดนาม"แซงโค้ง ไทยอันดับร่วง

"สิงค์โปร์"คว้าการเรียน ม.ปลายดีสุดในโลก "เวียดนาม"แซงโค้ง ไทยอันดับร่วง

"สิงค์โปร์"คว้าการเรียน ม.ปลายดีสุดในโลก "เวียดนาม"แซงโค้ง ไทยอันดับร่วง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

นายภาวิช ทองโรจน์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (กกอ.) อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เปิดเผย เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า เมื่อเร็วๆ นี้ Organisation for Economic Co-operation and Development (OECD) ได้เปิดเผยข้อมูลจากรายงาน Universal Basic Skills What Countries Stand To Gain ซึ่งได้วิเคราะห์และจัดลำดับการจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ใน 76 ประเทศทั่วโลก พบว่า 20 ประเทศที่จัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายได้ดีที่สุด ได้แก่

1.สิงคโปร์ 2.ฮ่องกง 3.เกาหลี 4.ญี่ปุ่น 5.ไต้หวัน 6.ฟินแลนด์ 7.เอสโตเนีย 8.สวิตเซอร์แลนด์ 9.เนเธอร์แลนด์ 10.แคนาดา 11.โปแลนด์ 12.เวียดนาม 13.เยอรมนี 14.ออสเตรเลีย 15.ไอร์แลนด์ 16.เบลเยียม 17.นิวซีแลนด์ 18.สโลวีเนีย 19.ออสเตรีย และ 20.อังกฤษ

โดยที่น่าจับตามองคือ ประเทศเวียดนาม ที่อยู่ในอันดับที่ 12 ขณะที่ประเทศไทย ตกไปอยู่อันดับที่ 47 ดีกว่าประเทศมาเลเซียอยู่ไม่มากนัก และเชื่อว่าอีกไม่นาน ประเทศมาเลเซียจะพัฒนาการศึกษาขึ้นมาได้เทียบเท่ากับประเทศไทย เพราะขณะนี้ประเทศมาเลเซียอยู่ระหว่างเร่งปฏิรูปการศึกษาอย่างเร่งด่วน เพื่อให้การศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ

นายภาวิช กล่าวต่อว่า ผลการจัดอันดับดังกล่าวเป็นการนำข้อมูลการทดสอบ ทั้งโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) และการสอบภายในประเทศ อาทิ การทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน หรือโอเน็ต มาวิเคราะห์ และนำมาจัดอันดับ ทั้งนี้ผลที่ออกมาไม่เป็นที่น่าแปลกใจนัก เมื่อเปรียบเทียบกับการจัดอันดับการจัดการศึกษาในระดับนานาชาติของหน่วยงานอื่น ก็พบว่าไทยอยู่ในอันดับรั้งท้ายเท่ากับว่าการพัฒนาของเราหยุดนิ่งขณะที่ประเทศอื่น ๆ กำลังเดินไปข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่น ทางเศรษฐกิจ ทั่วโลกจะมองข้ามประเทศไทย โดยปัจจุบันจะเห็นได้ว่าภาคอุตสาหกรรมหลักหลายประเภทที่เคยมีฐานการผลิตในประเทศไทย เริ่มย้ายฐานการผลิตไปในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น ดังนั้นจึงควรหันกลับมาเร่งพัฒนาการจัดการศึกษาอย่างจริงจัง โดยเฉพาะนโยบายการลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ของพล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ที่ค่อนข้างน่าเป็นห่วง ไม่ว่ารัฐบาลจะบอกว่า ประชาชนเห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว แต่ถ้าไปสอบครูในพื้นที่ จะพบว่าส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อม เพราะยังเน้นจัดการเรียนการสอนตามเนื้อหาวิชาเป็นหลัก

"โดยหลักการแล้ว เราเห็นด้วยว่า เด็กไทยทุกวันนี้เรียนมากเกินไป แต่การลดเวลาเรียนต้องทำอย่างเป็นระบบ แบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะหลักสูตรปัจจุบันจัดการเรียนการสอนโดยเน้นเนื้อหาสาระเป็นหลัก ดังนั้นการปรับลำดับแรกจึงควรสร้างหลักสูตรใหม่ ที่ลดความซ้ำซ้อนของเนื้อหา และจัดกิจกรรมที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาที่เรียน โดยบางวิชาที่เคยเรียนในห้องเรียน ก็สามารถนำมาจัดกิจกรรมนอกห้องเรียนได้ อาทิ การทดลองทางวิทยาศาสตร์ เป็นต้น โดยที่ผ่านมาผมได้จัดทำหลักสูตรใหม่ ที่ลดเวลาเรียนลงเหลือ 660 ชั่วโมงต่อปี รวมถึงมีตัวอย่างกิจกรรมที่สอดคล้องกับเนื้อหาวิชาเรียน เสนอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) เพื่อนำมาปรับใช้แล้ว แต่คิดว่า ขณะนี้สพฐ.เองคงยังไม่กล้านำหลักสูตรที่ผมเสนอไปมาดำเนินการ" นายภาวิชกล่าว


ที่มา มติชนออนไลน์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook