11 สิ่งที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับ “MILO” ทำไมถึงเป็นเครื่องดื่มยอดนิยมของคนทั่วโลก
เชื่อว่าไม่มีคนไทยคนไหนที่ไม่รู้จัก “MILO” เครื่องดื่มมอลต์สกัดรสช็อคโกแลต ที่มีรสชาติอร่อย เป็นเอกลักษณ์ และเป็นรสชาติที่เราจำกันได้ตั้งแต่เด็กๆ จากรถ MILO สีเขียว ที่มาแจกเครื่องดื่มให้เด็กๆ ได้ลองกันถึงที่โรงเรียน เป็นรสชาติอร่อยเข้มข้นที่อยู่ในความทรงจำของหลายๆ คนแน่นอน
แต่ยังมีเรื่องน่ารู้อีกมากเกี่ยวกับ “MILO” ที่คุณยังไม่รู้ และรับรองว่าถ้ารู้แล้ว คุณจะอยากวิ่งไปหา MILO มาดื่มทันที ถ้าพร้อมแล้วก็ลุยกันเลย!
11 สิ่งที่คุณไม่เคยรู้เกี่ยวกับ “MILO”
1. เครื่องดื่ม “MILO” มีประวัติยาวนานตั้งแต่ปี 1934 โดย Thomas Mayne นักวิจัยของเนสท์เล่ ที่ได้ไอเดียในการคิดค้นสูตร MILO จากการที่เห็นเด็กหลายคนขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อสุขภาพ MILO จึงถูกพัฒนาจนกลายเป็นเครื่องดื่มให้พลังงานและสารอาหารที่ดีต่อการเจริญเติบโตของเด็กในประเทศออสเตรเลีย ถิ่นกำหนดของ MILO นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
2. ชื่อ MILO ได้แรงบันดาลใจมาจาก MILO of Croton นักมวยปล้ำชาวกรีกในตำนาน ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งที่สุดในปฐพีในขณะนั้น เขามีความเชื่อว่าหากเขาแบกลูกวัวพาดบ่าทุกวัน จะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นจนสามารถแบกวัวตัวเต็มวัยได้สำเร็จ ด้วยความแข็งแรง และความมุ่งมั่นของเขาคนนี้ จึงนำชื่อของ MILO ใช้เพื่อแสดงถึงเครื่องดื่มที่ให้กำลัง พลังงาน และความแข็งแรงสู่เด็กๆ นั่นเอง
3. MILO ผูกพันกับชาวไทยมาตั้งแต่ปี 1960 หรือ 56 ปีที่แล้ว เพราะฉะนั้นหากใครอายุไม่เกิน 50 ปี จะต้องคุ้นเคยกับรสชาติของ MILO ที่ได้ลองชิมจากรถแจกนมที่โรงเรียนกันมาแล้วแน่นอน
รถ MILO ของสิงคโปร์
4. ดื่มกันมาตั้งนาน เคยเห็นหน้าตา “มอลต์สกัด” ไหม คิดว่าหน้าตาเป็นยังไง เป็นผงๆ สีน้ำตาลหรือเปล่า ขอบอกเลยว่าคุณคิดผิด เพราะมอลต์สกัดมีหน้าตาเป็นเหมือนของเหลวเหมือนน้ำผึ้งเข้มข้น ถ้าได้ลองดมกลิ่นจะตอบได้ทันทีว่า นี่แหละกลิ่น “MILO” ของแท้เลย
หน้าตาของมอลต์สกัด กลิ่นไมโล๊ MILO
5. รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ไม่ซ้ำใครของ MILO มาจากการคิดค้น “โปรโตมอลต์” ซึ่งเป็นการสกัดมอลต์ลิขสิทธิ์เฉพาะของ MILO และขบวนการในการผสมส่วนผสมทั้งหมด อบให้แห้ง และผ่านขบวนการจนทำให้เป็นผง ทั้งหมดเหล่านี้ที่ทำให้ได้รสชาติ MILO ที่ไม่เหมือนใคร แล้วโปรโตมอลต์ยังสกัดจากข้าวบาร์เล่ย์ด้วยกระบวนการพิเศษ ทำให้ได้คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนมากกว่ามอลต์ทั่วไป ซึ่งเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดดีที่พบได้จากอาหารจำพวกโฮลเกรน ช่วยปลดปล่อยพลังงานให้กับร่างกายได้อย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เหมาะกับการเป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานกับทั้งเด็กและผู้ใหญ่
6. ศูนย์วิจัย และพัฒนา Nestlé ที่สิงคโปร์ เป็นศูนย์วิจัยระดับภูมิภาค ที่มีพื้นที่กว้างขวาง และมีโรงงานสกัดมอลต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็นศูนย์กลางส่งมอลต์สกัดไปทั่วโลกอีกด้วย
ศูนย์วิจัยและพัฒนาของ Nestlé ในสิงค์โปร์ ซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับโรงงานสกัดมอลต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
7. ใครที่คิดว่า MILO หวานเกินไปสำหรับเด็ก ขอบอกเลยว่าคุณกำลัง “คิดผิด” นะคะ เพราะ MILO ทรีอินวันที่จำหน่ายในประเทศไทยมีปริมาณน้ำตาลที่เหมาะสมกับเด็กๆ และเป็นไปตามมาตราฐานโภชนาการของเนสท์เล่ ซึ่งสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
8. แต่แน่นอนว่านักวิจัยและพัฒนาของเนสท์เล่ ยังไม่หยุดทำการวิจัย เพื่อปรับปรุงสูตร และรสชาติอย่างต่อเนื่อง ให้มีความกลมกล่อมด้วยรสชาติของมอลต์ โกโก้ นม และความหวานที่กำลังพอดี โดยผ่านการทดสอบกลุ่ม แบบการทำ Blind Test กับผู้บริโภคตัวจริง และทีมงานวิจัยของเนสท์เล่เอง
โต๊ะชิม MILO ที่เหล่านักวิจัย และอาสาสมัครเข้ามาทำ Blind Test หรือลองชิม MILO ในรสชาติต่างๆ เพื่อหารสชาติที่ผู้บริโภคชื่นชอบที่สุด จริงจังไหมล่ะ
หน้าตาของ MILO ในแต่ละประเทศ
9. ถึง MILO แต่ละประเทศจะมีรสชาติแตกต่างกัน แต่ MILO ทุกแก้วที่จำหน่ายจะมีส่วนผสมของ “นม” เพราะนมมีคุณค่าทางโภชนาการ มีโปรตีนและแคลเซียมอยู่ตามธรรมชาติ การใช้ส่วนผสมจากนมนับเป็นข้อแตกต่างของ MILO เทียบกับเครื่องดื่มช็อกโกแล็ตมอลต์ทั่วๆไป เช่น MILO ทรีอินวันแต่ละแก้ว จะมีส่วนผสมของนมอยู่ถึง 28% ซึ่งทำให้ MILO ทรีอินวัน 1 แก้วมีโปรตีนอยู่ถึง 4 กรัม และมีแคลเซียม 20% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน
10. MILO เป็นเครื่องดื่มช็อคโกแลตมอลต์ที่มียอดขายสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก โดย MILO มีจำหน่ายกว่า 40 ประเทศทั่วโลก มีผู้ดื่ม MILO ทั่วโลกถึง 31 ล้านแก้วต่อวัน หรือเท่ากับ 307 แก้วต่อวินาที ปริมาณของ MILO ที่ผลิตทั่วโลกในแต่ละปีมีน้ำหนักเท่ากับหอคอยไอเฟล 20 อันรวมกัน ไม่ธรรมดาใช่ไหมล่ะ
11. MILO เป็นเครื่องดื่มช็อคโกแลตมอลต์ที่ได้รับความนิยมในประเทศสิงคโปร์ ประเทศเล็กๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีพื้นที่ราวๆ เกาะภูเก็ตของบ้านเรา แต่มีความเจริญทางในทุกๆ ด้านอย่างรวดเร็ว ทั้งการวางแผนพัฒนาประเทศอย่างไม่หยุดยั้ง การก่อสร้างปรับปรุงสิ่งต่างๆ เพื่อให้คุณภาพชีวิตของประชากรดีขึ้น พร้อมศูนย์วิจัยและพัฒนาของเนสท์เล่ ระดับภูมิภาคที่อยู่ที่สิงคโปร์ จึงทำให้ MILO กลายเป็นเครื่องดื่มประจำชาติของสิงคโปร์ ประเทศที่เป็นแชมเปี้ยนในด้านต่างๆ ไปโดยปริยาย
รู้อย่างนี้แล้ว ลุกไปหยิบ MILO มาชงดื่มกันเลยดีกว่าค่ะ เราจะแอบเคล็ดลับให้ อยากดื่ม MILO รสชาติอร่อยๆ ไม่ต้องใส่น้ำตาล นมข้นหวาน ครีมเทียม หรืออะไรอย่างอื่มเพิ่มเติมจะได้รับรสชาติที่ดีที่สุดนะคะ แล้วรู้เอาไว้ด้วยว่า MILO ไม่ได้มีดีแค่อร่อย แต่ยังเต็มไปด้วยสารอาหารดีๆ วิตามินและแร่ธาตุกว่า 9 ชนิด ดื่มได้ดื่มดีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ จะดื่มเป็นอาหารเช้า ดื่มช่วงบ่ายๆ หรือดื่มก่อนออกกำลังกายก็เหมาะทั้งนั้น
[Advertorial]