“ บาส Human Sax ” สู้ชีวิต เป่าแซกโซโฟนหาค่าเทอมเรียนม.มหิดล ฝันเป็นครูสอนดนตรี
ต้นทุนชีวิตที่แตกต่างกันไม่ได้ทำให้ชีวิตคนเราต่างกัน แต่ความคิดที่แตกต่างกันคือเหตุผลที่ทำให้ชีวิตของเราเดินไปในเส้นทางที่ต่างกัน
บาส ภัควัฒน์ จิรัสย์วาทิน หนุ่มวัย 21 ปีเป็นตัวอย่างหนึ่งของคนมีฝัน แม้รู้ทั้งรู้ว่าชีวิตต้นทุนต่ำของเขามีทางเลือกค่อนข้างจำกัด แต่เพราะฝันอยากเป็นครูสอนดนตรี จึงเลือกยึดอาชีพเปิดหมวกเป่าแซกโซโฟนหาเงินค่าเทอมเรียนเองมาตั้งแต่อยู่ชั้นม.2 จนปัจจุบันเขาเรียนจบชั้นม. 6 จากโรงเรียนมหิดลดุริยางคศิลป์ และกำลังเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยมหิดลในสาขาดนตรีที่ตนเองใฝ่ฝัน
กว่าจะมาถึงวันนี้ชีวิตบาสผ่านเรื่องราวต่างๆ มามากมาย เขาเคยเป็นเด็กเรียนดีติดอันดับ Top 5 ของชั้น แต่ผลการเรียนกลับตกต่ำเมื่อติดเกม บ้านที่เคยอาศัยอยู่กับคุณแม่และคุณตาต้องถูกยึดสาเหตุจากปัญหาบางอย่าง หรือแม้กระทั่งการออกไปเปิดหมวกเล่นดนตรีครั้งแรกตอนม.2 เพื่อหาเงินไปโรงเรียนในวันที่คุณแม่ไม่สบายและไม่มีเงินเป็นค่าเดินทาง ค่าขนมให้กับเขา
บาสเล่าให้ฟังถึงเหตุผลก่อนที่เขาจะกลายเป็น “บาส มนุษย์แซกฯ” นั่นเป็นเพราะ “ติดเกม” อย่างหนักตั้งแต่ป.5 จนส่งผลต่อการเรียน เมื่อคุณแม่เห็นแววไม่ดีจึงคิดหาวิธีแก้ปัญหา เลือกใช้“ดนตรี” เป็นทางออกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ หลังเข้าไปอยู่ในวงโยธวาทิตของโรงเรียนวัดเบญจมบพิตร “ดนตรี” สามารถเปลี่ยนความสนใจของบาสจากเคยเมามันกับการเล่นเกม กลายเป็นมีความสุขกับการเล่นดนตรี รู้สึกผ่อนคลาย แถมสิ่งที่ได้นอกเหนือจากนั้น การเล่นดนตรียังสร้างรายได้เสริมให้กับเขาอีกทางหนึ่ง ดีกว่าการเล่นเกมที่ต้องเสียเงิน
เมื่อดนตรีมอบความสุข ฝันขั้นถัดไปของเขาคือการเป็น “ครูสอนดนตรี” บาสจึงเลือกเรียนต่อระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนมหิดลดุริยางคศิลป์ สังกัดมหาวิทยาลัยมหิดล แม้ค่าเทอมจะสูงมากแต่เขาก็พร้อมสู้โดยใช้เวลาช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ และช่วงปิดเทอมออกไปเปิดหมวกเล่นดนตรีเก็บเงินสำหรับเป็นค่าเทอม นอกจากงานเปิดหมวกที่ทำมาตั้งแต่เด็กแล้ว บาสยังได้งานสอนดนตรี งานแสดงดนตรีตามโรงแรมและงานแต่งงานต่างๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาไม่รู้สึกท้อต่อชะตาชีวิต
วันนี้บาสกำลังเตรียมตัวเข้าศึกษาต่อระดับมหาวิทยาลัยที่ม.มหิดล โดยใช้สิทธิโควตานักเรียนที่เรียนได้เกรดเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 2.5 และสอบผ่านเกณฑ์การวัดผลของมหาวิทยาลัย ค่าเทอมก้อนแรกที่ต้องวางให้กับทางมหาวิทยาลัยบาสจัดการไปเรียบร้อยแล้ว เหลืออีกบางส่วนที่เขายังต้องต่อสู้ไปกับมัน
บาสฝันไกลถึงการเปิดโรงเรียนสอนดนตรีโดยให้เหตุผลว่า “ผมรู้ว่าความรู้สึกของคนที่อยากเรียนดนตรีแล้วไม่ได้เรียนมันเป็นอย่างไร เพราะผมเองก็อาศัยการฝึกจากยูทูป ผมจึงอยากเป็นครูสอนดนตรีให้กับเด็กที่รักและอยากเรียนดนตรี”
แม้ชีวิตในรุ่นราวคราวเดียวกันของหนุ่มบาสจะแตกต่างจากเพื่อนคนอื่นแต่เขาไม่เคยท้อเพราะคิดแล้วว่านี่คือสิ่งที่เขาเลือกเอง “แม่ผมสอนว่าในเมื่อเราตัดสินใจเลือกแล้วไม่ว่าผลจะเกิดอย่างไรเราต้องรับให้ได้”
ข้อคิดปิดท้ายที่น่ารักของบาสคือเขาเปรียบความฝันของตัวเองเหมือนมาม่าหมูสับ แม้จะได้กินมาม่าต้มยำที่ทำให้อิ่มท้องเหมือนกัน แต่รสชาติความอร่อยมันไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการ อาชีพด้านดนตรีที่หลายคนมองว่าไส้แห้ง แต่เมื่อเขาเลือกแล้ว เขาก็จะทำให้ได้ ถ้าอาชีพอื่นให้ผลตอบแทนได้เหมือนกันแต่รสชาติมันไม่ใช่ สำหรับบาสก็ไม่เลือก