การค้นหาตนเองของเด็กฟินแลนด์

การค้นหาตนเองของเด็กฟินแลนด์

การค้นหาตนเองของเด็กฟินแลนด์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟินแลนด์ ประเทศเล็กๆในยุโรปตอนบน มีประชากรประมาณห้าล้านคนเป็นประเทศที่มีความจริงจังมากในด้านการพัฒนาคุณภาพคนคนที่นี่มีคุณภาพ มีชีวิตความเป็นอยู่ดี มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจน้อยมาก


เพราะมีการเก็บภาษีสูงและมีการพัฒนาการศึกษาอย่างจริงจังในการสำรวจประเมินผลคุณภาพการศึกษาโดยองค์กรความร่วมมือทางเศรษฐกิจและพัฒนา(OECD )ที่ชื่อ PISA (Program For International student Assessment )นักเรียนของฟินแลนด์ได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักเรียนที่มีคุณภาพที่สุดในโลกติดต่อกันมาโดยตลอด

การจัดการศึกษาของเขามุ่งให้เด็ก เรียนรู้ด้วยตนเอง รู้จักตนเอง และมีเส้นทางของตนเองมาดูสิ่งที่เขาทำ เปรียบเทียบกับของเรา

เริ่มเข้าโรงเรียน

ฟินแลนด์
เด็กจะเข้าเรียนเมื่ออายุหกเจ็ดขวบเขาไม่เน้นโรงเรียนอนุบาลเพราะอยากให้เด็กอยู่กับครอบครัวมีเวลาเล่นและเรียนรู้ด้วยตนเอง

ไทย
เร่งเข้าเรียน ตั้งแต่อายุน้อยๆเพราะคิดว่ายิ่งเรียนเร็วยิ่งดี

เนื้อหาในหลักสูตร

ฟินแลนด์
เด็กระดับประถม เรียนไม่เกินวันละห้าชั่วโมง

โดยหลักสูตรที่มีเนื้อหาน้อยมากเพื่อจะให้เด็กมีเวลาเลือกทำสิ่งที่ชอบได้ทำกิจกรรมที่สนใจ

ไทย
หลักสูตรแปดสาระ เต็มไปด้วยเนื้อหาจนไม่เหลือเวลาให้ คิด ค้นหาและเรียนรู้เรื่องที่ตนสนใจ

จำนวนเด็กต่อห้อง

ฟินแลนด์
เด็กห้องละ 12 -20คน เพื่อให้ครูสามารถจะช่วยพัฒนาศักยภาพเด็กแต่ละคนด้วยการสอนที่แตกต่างกันแม้ข้อสอบของเด็กในห้องเดียวกัน ก็ต่างกันได้ ซึ่งจะช่วยให้เด็กทุกคนพัฒนาตนเองสู่เป้าหมายที่ต่างกัน

ไทย
เด็กห้องละ35-40คน โรงเรียนดังๆมีเด็กห้องละ50คนการพัฒนาเด็กเป็นรายคนทำได้ยากมีหลักสูตรสำเร็จให้ทุกคนเหมือนกัน

การวัดผล

ฟินแลนด์
วัดผลด้านต่างๆแยกออกจากกัน เช่น ด้านความรับผิดชอบ ความร่วมมือและผลความรู้วิชาต่างๆก็ไม่นำมารวมกัน ไม่มีเกรดเฉลี่ยไม่ใช้ข้อสอบมาตรฐาน มาเป็นตัววัดนักเรียนทั้งประเทศ

ไทย
วัดผลด้านเดียวคือด้านวิชาการมีเกรดเฉลี่ย เป็นตัวตัดสิน ผลการเรียนและมีการใช้ข้อสอบมาตรฐานชุดเดียวกันไปวัดเด็กทั้งประเทศ

เด็กนักเรียนที่ฟินแลนด์ โชคดีกว่าเด็กบ้านเรามากเพราะไม่โดนอัดให้เรียนหนักๆจนไม่เหลือเวลาเด็กที่นี่มีเวลาที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ เรื่องราวใหม่ๆนอกเหนือจากตำรา และที่สำคัญ มีเวลาที่จะ เรียนรู้เรื่องของตนเอง

ครูที่นี่ มีเวลาพัฒนาเด็กแต่ละคนตามศักยภาพและความสนใจที่แตกต่างกัน เพราะจำนวนเด็กแต่ละห้องเรียนไม่เกิน20คน ทำให้ครูสามารถ วัดผลการเรียนทั้งด้านวิชาการ ด้านทักษะต่างๆ และยังวัดผลอุปนิสัยด้านต่างๆของเด็กอีกด้วยการวัดผลครบสามด้านแบบนี้จะ ช่วยให้เด็กทุกคนนำผลการเรียนไปพัฒนาตนเองได้ต่างคนต่างพัฒนาจุดอ่อนของตนเอง โดย ไม่ต้องแข่งขันกัน

เพราะเขารู้ว่าการศึกษาไม่ใช่อุตสาหกรรมและการค้นหาตนเองของเด็กมีความสำคัญต่ออนาคตเกินกว่าหลักสูตรสำเร็จรูปใดๆ

การวัดผลสอบเป็น เกรดเฉลี่ยไม่ได้ช่วยในการพัฒนา อะไรมากนักแต่กลายเป็นเรื่องสร้างความกดดันให้เด็กและทำให้การเรียนกลายเป็นการแข่งขันแทนที่จะเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเด็กแต่ละคน

การวัดผลการเรียน ด้านทักษะและอุปนิสัยจะช่วยให้เด็กทุกคนสามารถพัฒนาตนเองได้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook