ชุดนักเรียนญี่ปุ่นสมัยนี้…มีดีอะไรถึงได้ราคาแพงนักนะ !?
เพื่อน ๆ คงคุ้นตากับชุดนักเรียนญี่ปุ่นกันดี ทั้งจากภาพยนตร์ การ์ตูน และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่ละโรงเรียนก็อาจมีการออกแบบชุดนักเรียนที่แตกต่างกันไปบ้างเพื่อดึงดูดให้นักเรียนอยากเข้าเรียนที่โรงเรียนนั้น ๆ เรียกว่าเป็นจุดขายจุดหนึ่งเลยก็อาจจะได้ค่ะ แต่เพื่อน ๆ ทราบไหมคะว่าชุดนักเรียนเหล่านี้ราคาประมาณกี่เยน
อะไรนะ…ชุดละ 3 หมื่นเยน ! ! !
พ่อ : สมัยพวกเราเป็นนักเรียน เด็กผู้ชายก็ใส่เสื้อกักคุรัน เด็กผู้หญิงก็ใส่ชุดกะลาสีสิน้าา..
แต่สมัยนี้เขาเปลี่ยนเป็นแบบผูกเนคไทผูกโบว์กันหมดแล้วเนอะแม่เนอะ
แม่ : ชุดพวกนี้มันก็น่ารักดีหรอกนะพ่อนะ แต่ราคาไม่เห็นมันน่ารักเหมือนชุดเลยล่ะ
นี่ปาเข้าไปราว ๆ 3 หมื่นเลยนะ !
นี่ยังไม่รวมกระเป๋า รองเท้า ชุดพละ ชุดฤดูร้อน เสื้อเชิ้ต เสื้อสเวตเตอร์
รวมหมดนี่ก็ปาไป 8 หมื่นเยนเลยนะพ่อ !
พ่อ : ห๊ะ ? ! สูทพ่อราคาแค่หมื่น 9 พันเยนเองนะแม่…
แหม ถ้าทั้งเซ็ต 8 หมื่นเยนล่ะก็ สงสัยเราคงต้องกินแกลบไปอีกพักนึงสินะแม่นะ…
บทสนทนาแบบนี้ก็จะถูกนำมาเล่นซ้ำเวลาพ่อแม่คุยกันเรื่องชุดนักเรียนของลูก และมีคุณพ่อจำนวนไม่น้อยเลยที่บ่นเรื่องนี้อยู่คนเดียวในใจ แต่แหม จะไม่ให้บ่นได้ยังไงล่ะก็ชุดนักเรียนลูกดันแพงกว่าสูทของคุณพ่อตั้งหลายเท่าตัวเชียว
ชุดกักคุรันที่คุณพ่อพูดถึง ทำไมชุดนักเรียนถึงได้แพงนักล่ะ ? !
ทั้ง ๆ ที่เสื้อสูทของคุณพ่อราคาเพียงตัวล่ะ 1 หมื่น 9 พันเยน แถมถ้าเวลาลดราคาซื้อ 2 ตัว ราคา 2 หมื่น 9 พันเยนเท่านั้น แต่ทำไม๊ทำไมชุดของคุณลูกถึงได้แพงนักล่ะ คงจะมีคุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ค่าชุดนักเรียนถูกลงกว่านี้อยู่แน่นอน แต่ที่ต้องแพงขนาดนี้เขามีเหตุผลนะ…
1. ใส่มานาน 3 ปีสีก็ยังไม่ซีด
เพราะว่าใช้วัตถุดิบคุณภาพดีอย่างสีย้อมผ้าก็นำเข้าจากประเทศจีนทำให้ต้นทุนสูง แต่กระนั้นก็เพื่อไม่ให้สีซีดแม้จะใช้งานเป็นเวลานาน 3 ปีแล้วก็ตาม
2. เนื้อผ้าทำจากขนแกะ
เมื่อเทียบกับเสื้อสูทของคุณพ่อที่ราคาถูกกว่าแล้ว ชุดนักเรียนของคุณลูกมักจะทำมาจากขนแกะเป็นส่วนใหญ่ ก็เลยต้องราคาแพงกว่ายังไงล่ะ
นอกจากนี้ อีกเหตุผลที่ทำให้ราคาแพงก็เพราะความหนาของเสื้อผ้า เนื่องจากไม่ต้องการให้นักเรียนสวมโค้ทกันหนาวมาเรียนเพราะว่าจะไม่มีที่ไว้แขวนหรือวางเสื้อโค้ทก็เลยออกแบบให้มีความหนาพอประมาณ นักเรียนจะได้ไม่ต้องใส่โค้ททับมาอีกทียังไงล่ะ
3. เนื้อแกะกำลังบูม
เพราะว่าฮินาเบะ (หม้อไฟแบบจีน) เนื้อแกะกำลังบูมอยู่ในช่วงนี้ ปริมาณการบริโภคเนื้อแกะจึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้จำนวนแกะในฟาร์มลดลงไปด้วย ดังนั้นขนแกะจึงไม่เพียงพอ เสื้อขนแกะจึงมีราคาแพง
ฤดูใบไม้ผลินี้ ผู้ผลิตชุดเครื่องแบบรายหนึ่งก็จะมีการขึ้นราคา 5 – 10 % ครั้งแรกในรอบ 10 ปีเพื่อไม่ให้บริษัทขาดทุน ดังนั้นราคาชุดนักเรียนของคุณลูกก็จะแพงขึ้นประมาณ 1 – 3 พันเยนค่ะ
4. รับมือได้ทุกสถานการณ์
แน่นอนว่าชุดนักเรียนเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็นกางเกง แขนเสื้อหรือเบลเซอร์ (เสื้อนอก) ก็สามารถนำมาดัดแปลงขยายออกได้ แม้ว่าตัวจะสูงขึ้นหรืออย่างไรก็ตามก็ไม่ต้องไปซื้อชุดใหม่ก็ได้ แต่สามารถเอามาดัดแปลงเพิ่มได้เพื่อให้สามารถใช้งานได้จนถึง 3 ปี ต่อให้สูงขึ้นอย่างรวดเร็วหรืออ้วนเกินไปนิดหน่อยก็ไม่ต้องกลัวว่าเสื้อผ้าจะปริจะขาดแล้ว
5. รีไซเคิลได้
ที่โรงเรียนหลายแห่งจะมีการรวบรวมชุดนักเรียนจากนักเรียนที่จบการศึกษาไปแล้วหรือย้ายโรงเรียน หรือไม่ว่าจะเป็นจากนักเรียนที่ตัวโตขึ้นจนต้องเปลี่ยนชุดใหม่นำมารีไซเคิลหรือกลับมาใช้ใหม่นั่นเอง
6. ประหยัดค่าซักรีด
เพราะว่าชุดนักเรียนส่วนมากแล้วจะสามารถซักที่บ้านได้ง่ายๆ ชิล ๆ โยนลงเครื่องซักผ้าได้เลยสบาย ๆ แถมส่วนใหญ่แล้วชุดนักเรียนเหล่านี้ถ้าซักตอนกลางคืนเช้าวันถัดมาก็แห้งสนิทพร้อมใส่เลยล่ะ ทำให้ไม่จำเป็นต้องเอาไปส่งร้านซักรีดให้เปลืองเงินในกระเป๋าค่ะ
7. ใส่แล้วสวย ใส่แล้วดูดี
จะมาตัดกระโปรงให้สั้น ๆ ตามใจฉันก็ไม่ได้เหมือนกันนะ เพราะว่าโรงเรียนเขามีกฎว่าถ้าใครที่ตัดกระโปรงตัวเองให้สั้นก็ต้องไปซื้อมาใหม่ค่ะ ถ้าเป็นอย่างงั้นก็เปลืองเงินอีกใช่ไหมล่ะ เพราะงั้นเอามินิสเกิร์ตที่มีกันอยู่แล้วมาใส่แทนจะดีกว่านะ แต่ถ้าลองหันมาสวมชุดให้เรียบร้อยแบบนักเรียนในรูปภาพข้างบนล่ะก็จะทำให้ดูฉลาดขึ้นทันตาเห็นเลยใช่ไหมล่ะค่ะ
แต่อย่างไรก็ตาม ควรดูแลรักษาชุดนักเรียนแสนแพงนี้ให้ใส่ได้ถึง 3 ปีก็จะดีที่สุดนะคะ