รู้จักโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม WWOOF JAPAN
เราเป็นนักเรียนไทยที่มาเรียนภาษาญี่ปุ่นที่เกียวโต แต่พอเข้าหน้าร้อน ทางโรงเรียนก็มีวันหยุดให้นานถึง 1 เดือน ตอนนั้นเรายังไม่ได้ทำงานพิเศษเลยไม่รู้จะไปไหน ที่บ้านก็ยังไม่ให้กลับไทยเพราะเพิ่งมาได้แปปเดียว แต่ถ้าจะไปเที่ยวอย่างเดียวก็รู้สึกว่าอาจจะลืมภาษาได้ แถมยังต้องใช้เงินค่าเดินทางอีกเยอะ เราเลยตัดสินใจงั้นไปทำ WWOOF แล้วกัน
หลายคนอาจจะยังไม่รู้จักว่า WWOOF คืออะไร เพราะขนาดคนญี่ปุ่นเองบางคนก็ยังไม่ค่อยรู้จักกับโครงการนี้เท่าไหร่
ครั้งแรกที่รู้จักกับคำนี้ มาจากการอ่านหนังสืออยู่ญี่ปุ่นที่บอกเล่าเรื่องราวของหนุ่มออฟฟิศชาวไทยที่เข้าร่วมโครงการ WWOOF คาบเกี่ยว 2 ฤดูกาล 4 ฟาร์ม 4 ภูมิภาค แบบอยู่ดี กินฟรี ไม่เสียตังค์ จะเรียกว่าเป็นการอยู่กับคนญี่ปุ่นแบบโฮมสเตย์ก็ไม่เชิง เพราะโครงการนี้เป็นโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และสนับสนุนสวนผัก ผลไม้ หรือฟาร์มออร์แกนิคในญี่ปุ่น โดยจะมีเจ้าของฟาร์มเป็นคนรับสมัครให้ วูฟเฟอร์ (ผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ) เข้าไปทำงานตามที่โฮสต์บอกเพื่อแลกกับอาหารและที่อยู่ โครงการนี้มีอยู่ทั่วทุกภูมิภาคที่ญี่ปุ่นและเปิดรับตลอดทั้งปีเลย โฮสต์บางคนจะมีพาไปเที่ยว หรือแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมเพิ่มเติมให้ด้วย ว่าแล้วก็ไม่รอช้า ลองมาดูกันเลย
ก่อนอื่น การสมัครสมาชิกสามารถเข้าไปได้ที่นี่ แล้วเลือก Become a WWOOFer ก็จะเจอหน้าให้กรอกข้อมูลเยอะประมาณนึง อย่าเพิ่งถอดใจขี้เกียจกรอกกันนะ แล้วจะพลาดประสบการณ์ใหม่ๆ จริงๆที่ให้กรอกข้อมูลเยอะเพราะทางโครงการเขาอยากให้โฮสต์สามารถรู้ข้อมูลเราได้เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายจะได้เลือกโฮสต์และรับวูฟเฟอร์ที่ต้องการจริงๆ จะทำให้เราเห็นข้อมูลต่างๆของโฮสต์มากขึ้นกว่าก่อนสมัคร ป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นว่าเราไม่ชอบเรื่องนั้นเรื่องนี้ ไม่รู้มาก่อนพอไปอยู่จริงก็จะเกิดความลำบากใจขึ้น ดังนั้นกรอกข้อมูลตามความจริงไปเลยค่า
การสมัครจะทำให้เราสามารถส่งข้อความติดต่อคุยกับโฮสต์ได้ค่ะ พอกรอกเสร็จด้านล่างจะมีให้เลือกว่าเราจะเป็นสมาชิก WWOOF แบบไหน มีหลายเรทหลายแบบให้เลือกนะคะ ว่าจะไปคนเดียวหรือมีเด็กไปด้วย และสามารถเลือกได้ว่าเราจะให้การเริ่มเป็นวูฟเริ่มเลย หรือเริ่มหลังจากสมัคร 2 อาทิตย์ หรือ 1 เดือน / 2 เดือน / 3 เดือน/ 6 เดือน เพื่อให้อายุสมาชิกอยู่ได้นานขึ้นค่ะ ( อายุสมาชิกวูฟ 1 ปี เริ่มนับตามวันที่เราเลือกว่าจะให้เริ่มภายในกี่อาทิตย์ค่ะ ไม่ได้เริ่มนับวันที่เราสมัคร ) อย่างเราเริ่มสมัครกลางเดือน 6 แต่เราปิดเทอมและสามารถเริ่มทำวูฟได้ช่วงวันที่ 20 ก.ค. – 16 ส.ค. เราเลยเลือกแบบที่ 1 Adult start in 1 month ราคา 5,500 เยน โดยการสมัคร 1 ครั้งจะไปวูฟกี่ที่ก็ได้ค่ะ ภายในระยะเวลา 1 ปี
ถ้าใครที่ยังไม่แน่ใจว่าไปดีมั้ย หรืออยากลองเซอร์เวย์ข้อมูลอย่างเดียวก่อนเพราะไม่อยากเสียค่าสมาชิก ก็สามารถดูข้อมูลเบื้องต้นได้เช่นกัน เลือกตรง Host Preview แล้วเลือกตามเมืองที่ต้องการไปได้เลย ในเว็บไซด์จะบอกละเอียดพอสมควรถึงขนาดว่าบ้านโฮสต์ มีผู้หญิง ผู้ชายกี่คน มีเลี้ยงสัตว์อะไรบ้าง สูบบุหรี่ กินเหล้ามั้ย โฮสต์พูดภาษาอะไรได้บ้าง วูฟเฟอร์จำเป็นต้องพูดภาษาญี่ปุ่นได้มั้ย ลักษณะงานที่ทำเป็นยังไง ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงที่ต้องการเข้าร่วมโครงการทีเดียวเลยแหละ
หลังจากเลือกโฮสต์แล้วก็ให้ส่งข้อความถึงโฮสต์ได้เลย แจ้งไปว่าเราจะไปเมื่อไหร่ นัดแนะเวลา สถานที่นัดหมายที่ให้โฮสต์มารับได้ที่ช่อง Messege โฮสต์บางคนอาจจะตอบช้าหน่อยนะ ไม่ต้องตกใจไป อ่อ! อย่าลืมถามโฮสต์เรื่องอุปกรณ์ที่เราต้องเตรียมไปพิเศษ เช่น รองเท้าบูท เสื้อแขนยาว ถุงมือ ฯลฯ จะได้ไม่ต้องลำบากวิ่งหาซื้อหน้างาน และที่สำคัญอีกอย่างคืออย่าลืมปริ้นเอกสารยืนยันการเป็น WWOOFER PERMIT ของเราไว้ด้วยนะคะ เพราะโฮสต์จะขอดูเวลาเจอกัน ป้องกันความผิดพลาดและการแอบแฝงค่ะ แต่ก็มีโฮสต์บางคนไม่ขอดูเหมือนกันนะ ยังไงก็ติดไปเผื่อน่าจะดีกว่า
ลักษณะงานส่วนใหญ่ของการเป็น WWOOF จะเป็นการทำฟาร์มผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บผลผลิต ทำแยม ทำคาเฟ่ ร้านอาหาร ทำขนมปังหรืองาน Craft อื่นๆ แตกต่างกันไป เราเลือกไปที่ฟุกุโอกะ เพราะเป็นเมืองที่เคยอ่านรีวิวแล้วรู้สึกอยากไปเที่ยวสักครั้ง จะได้อาศัยโอกาสไปทำวูฟครั้งนี้เที่ยวฟุกุโอกะไปเลยในตัว โดยวูฟที่เลือกมีฟาร์มองุ่น สตอเบอรี่ สาลี่ ลูกพีช และร้านขายของในบริเวณฟาร์ม ซึ่งเป็นโฮสต์ที่พูดภาษาอังกฤษได้ด้วย เพราะเรายังรู้สึกว่าภาษาญี่ปุ่นเรายังไม่ค่อยแข็งแรง กลัวไปแล้วคุยกับเขาไม่ได้ เลยยังไม่เลือกโฮสต์ที่พูดได้แต่ภาษาญี่ปุ่น และพอดูในช่อง Feedback ก็พบว่าโฮสต์นี้ชาวต่างชาติไปมาเยอะมากและรีวิวดีมาก เราเลยคิดว่าต้องรอดแน่นอน
หลังจากเราตกลงกับโฮสต์แล้วว่าจะทำเป็นเวลา 2 อาทิตย์ ควรเตรียมของฝากติดไม้ติดมือไปตามธรรมเนียมญี่ปุ่น ซึ่งถ้าเป็นของเกี่ยวกับประเทศตัวเองจะยิ่งทำให้เวลาคุยกับโฮสต์จะสนุกมากขึ้น น่าสนใจมากขึ้น อย่างเช่น เครื่องแกงไทยๆ เหล้าหรือเบียร์ไทย (คนญี่ปุ่นชอบดื่มเบียร์ เพราะฉะนั้นน่าจะเป็นของขวัญที่คนญี่ปุ่นชอบ) ที่สำคัญที่สุดสำหรับสาวๆอย่างเรานั้น ครีมกันแดด!!!! เพราะการไปทำวูฟหน้าร้อนคงไม่ค่อยจะดีกับผิวของสาวๆอย่างเราเท่าไหร่ ส่วนอุปกรณ์กันแดดอื่นๆอย่างหมวก ปลอกแขน ก็เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย
ก่อนวันเดินทาง 2-3 วันอากาศเริ่มร้อนขึ้นมาก เราคิดเลยว่าที่ฟุกุโอกะ บ้านโฮสต์ต้องร้อนกว่านี้แน่นอน อยากถอดใจไม่ไปแล้ว ไม่อยากลำบาก แต่สุดท้ายความคิดด้านดีก็กลับมาชนะว่า มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะนอกจากได้เที่ยวและใช้ชีวิตอยู่กับคนญี่ปุ่นเต็มๆ 2 อาทิตย์ มันจะช่วยให้เราไม่ลืมภาษาญี่ปุ่นตลอดช่วงปิดเทอม ทำให้มีโอกาสได้ฝึกพูด ฝึกฟังมากขึ้น ได้เปิดประสบการณ์ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ได้รู้วัฒนธรรมของคนญี่ปุ่นจริงๆว่าเขาใช้ชีวิตกันแบบไหน ได้รู้จักอีกครอบครัวนึง และอาจจะได้รู้จักวูฟชาติอื่นที่มาทำพร้อมกัน ซึ่งทำให้เราไม่เหงาตลอดการปิดเทอม แถมยังประหยัดค่าอาหารค่าที่พักอีก โอกาสดีๆแบบนี้ต้องคว้าเอาไว้ให้ได้