"วิชากฎหมาย" ได้รับความนิยมอีกครั้งในสหรัฐฯ หลัง "ทรัมป์" ขึ้นเป็นผู้นำประเทศ

 

การสมัครเข้าเรียนในวิชากฎหมายของสหรัฐฯ ได้กลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง หลังจากจำนวนคนที่สมัครเข้าเรียนลดลงมานานหลายปีติดต่อกัน เเละมีความกังวลอย่างมากต่อคุณค่าของปริญญาบัตรด้านกฎหมาย

Law School Admission Council รายงานว่า ในปีการศึกษาใหม่ที่จะเริ่มต้นขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงหน้า มีผู้สมัครเข้าเรียนในวิชากฎหมายเพิ่มขึ้นเกือบ 12 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้

จำนวนผู้สมัครเรียนโรงเรียนกฎหมายนี้เพิ่มขึ้นอย่างมากเป็นครั้งเเรกตั้งเเต่ก่อนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งสุดท้าย เเละบรรดาคณบดีภาควิชากฎหมายกับที่ปรึกษาก่อนเข้าเรียนกฎหมาย ต่างเเสดงความคิดเห็นถึงทฤษฎีหลายอย่างด้วยกันที่กระตุ้นการหวนคืนของความนิยมเรียนวิชากฎหมาย

อาทิ บรรยากาศการเมืองในขณะนี้ ที่ผลักดันให้ประเด็นทางกฎหมายหลายอย่างได้รับความสนใจของประชาชน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเเละตลาดงานด้านกฎหมาย เเละโรงเรียนกฎหมายในสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าลดราคาค่าเล่าเรียนให้เเก่นักศึกษาระดับหัวกะทิ

เกร็กกอรี่ ชาฟเฟอร์ (Gregory Shaffer) ฝ่ายให้คำปรึกษาก่อนเข้าเรียนกฎหมาย ที่มหาวิทยาลัยเเห่งรัฐเเมรี่เเลนด์ (University of Maryland) กล่าวว่า ทุกคนเริ่มเห็นความนิยมเรียนด้านกฎหมายหวนกลับมาอีกครั้ง

เจโรมี ออร์เเกน (Jerome Organ) ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายที่มหาวิทยาลัยเเห่งเซนท์ โทมัส ในรัฐมินเนสโซต้า (University of St. Thomas) ประมาณล่วงหน้าว่า จำนวนผู้สมัครเรียนในปีการศึกษาหน้าที่จะเริ่มในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ปี ค.ศ. 2018 นี้ อาจจะเพิ่มขึ้นไปจนถึง 61,000 ถึง 63,000 คน

บรรดานักศึกษาเเละที่ปรึกษาก่อนเรียนกฎหมายชี้ว่า สาเหตุส่วนหนึ่งที่ทำให้มีคนสมัครเรียนกฎหมายมากขึ้นนี้ ส่วนหนึ่งมาจากความวุ่นวายทางกฎหมายในช่วงปีแแรกที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำเเหน่งเป็นผู้นำประเทศ

รวมทั้งการสอบสวนของอัยการอิสระ เกี่ยวกับข้อกล่าวหาที่ว่ารัสเซียเเทรกเเซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ปี 2016

ในช่วงต้นปี 2017 ชาวอเมริกันหลายพันคนติดตามชมการถ่ายทอดสดการไต่สวนของศาลอุธรณ์ครั้งเเรก ในคดีฟ้องร้องการคัดค้านคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ ที่ห้ามประชาชนจากชาติมุสลิมบางชาติไม่ให้เดินทางเข้าสหรัฐฯ

เเละตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา การต่อสู้ด้านสิทธิของคนข้ามเพศ (transgender) ความเท่าเทียมทางอินเตอร์เน็ท (net neutrality) ตลอดจนประเด็นเกี่ยวกับเมืองที่ให้ที่พักพิงเเก่คนเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย (sanctuary cities) ได้กลายเป็นข่าวพาดหัวในสื่อมวลชนของสหรัฐฯ

บรรดาที่อาจารย์ปรึกษาต่างต่างชี้ว่า ข่าวเหล่านี้มีอิทธิพลต่อนักศึกษามหาวิทยาลัย โดยหลายคนบอกว่าอยากเรียนทางด้านกฎหมายคนเข้าเมือง สิทธิประชาชน หรือไม่ก็กฎหมายรัฐธรรมนูญ

และเมื่อคุณค่าของการเรียนกฎหมายเพิ่มขึ้นในสหรัฐฯ ตลาดงานของคนที่เรียนจบด้านนี้ก็ดีขึ้นตามไปด้วย เช่นเดียวกับทุนการศึกษา

สมาคมการว่างจ้างงานทางกฎหมายเเห่งชาติ (National Association for Law Placement) ชี้ว่า ตลาดงานกฎหมายในตำเเหน่งเริ่มต้นกำลังเติบโตขึ้นเป็นปีที่สามติดต่อกัน โดยนักศึกษารุ่นปี 2016 มีอัตราการได้งานทำ 87.5 เปอร์เซ็นต์ ภายใน 10 เดือนหลังเรียนจบ

เเละเมื่อตลาดงานด้านกฎหมายดีขึ้น พ่อแม่อาจจะมั่นใจมากขึ้น เเละสนับสนุนให้บุตรเรียนต่อทางกฎหมาย

เวลานี้ การอบรมก่อนเข้าเรียนกฎหมายที่เคยดึงดูดนักเรียนเข้าร่วมเพียงเเค่ 10 – 15 คน ในตอนนี้มีคนจองที่นั่งเต็มหมด เหลือเฉพาะที่ยืนเท่านั้น

แต่คุณลู เพาเวอร์ส (Lou Powers) ที่ปรึกษาก่อนเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยเเห่งรัฐฟลอริด้า (University of Florida) กล่าวว่า เเม้กระนั้น จำนวนคนที่เข้าไปทำงานในบริษัทกฎหมายใหญ่ๆ ยังอยู่ที่เเค่เกือบ 1,000 คนเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ผลการวิเคราะห์โดยศาสตราจารย์ ดีเรค มุลเลอร์ (Derek Muller) เเห่งภาควิชากฎหมาย มหาวิทยาลัยเพ็พเพอร์ไดน์ (Pepperdine University School of Law) ชี้ว่า การเรียนด้านกฎหมายในสหรัฐฯ ยังเสียค่าใช้จ่ายสูง โดยค่าเล่าเรียนมักอยู่ที่ราว 45,000 ดอลล่าร์สหรัฐฯต่อปี เเต่โรงเรียนกฎหมายมักเสนอทุนการศึกษามากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพื่อดึงดูดผู้สมัคร

อย่างไรก็ตาม โรงเรียนกฎหมายบางเเห่งเตือนว่า อาจจะมีการลดค่าเล่าเรียนไม่มากเท่าเดิม เพราะจำนวนผู้สมัครเข้าเรียนเพิ่มขึ้น จึงต้องเเข่งขันกันมากขึ้น