อีโมจิญี่ปุ่น รู้ไหมตัวนี้แปลว่าอะไร

อีโมจิญี่ปุ่น รู้ไหมตัวนี้แปลว่าอะไร

อีโมจิญี่ปุ่น รู้ไหมตัวนี้แปลว่าอะไร
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

5a2e4fae95cd6_5a2e4f63669b4_1

รู้หรือไม่ จริงๆแล้วเจ้าตัว Emoji หรืออีโมจินั้นเกิดขึ้นครั้งแรกในญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคปี 1990 ที่มือถือยังไม่สมาร์ต แต่เขาก็เริ่มใช้กันแล้ว แต่ว่าประวัติศาสตร์ของเจ้ารูปหน้าคนนี้ยาวกว่านั้นเยอะ แท้จริงแล้วจะมีที่มายังไง ต้องลองอ่านดู

แม้จะมีหลายอย่างมาแทนที่ เช่นสติ๊กเกอร์ไลน์หรือภาพเคลื่อนไหวแบบgif แต่อีโมจิก็ยังเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการแชทของพวกเรา (แม้ผมเองจะไม่ชอบใช้ก็ตาม) แต่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติที่ทุกๆคนจะใช้อีโมจิคุยกันแทนคำพูด เพราะเร็ว น่ารัก ดุ๊กดิ๊ก และมีสีสันมากกว่าตัวหนังสือลอยๆ แต่ใครรู้บ้างว่าจริงๆแล้ว อีโมจินั้นมีที่มาจากญี่ปุ่น

ที่มาของอีโมจิ

 5a30a1458db84_5a309fc894e51_1

คำว่า อีโมจิ เองนั้นก็เกิดขึ้นมาจากการนำคำว่า emoji (絵文字) ภาษาญี่ปุ่นมาแปลเป็นอังกฤษตรงๆนั่นเอง แต่คำอ่านแบบญี่ปุ่นนั้นจริงๆแล้วอ่านว่า เอะโมจิ มีความหมายว่า "ตัวหนังสือแบบรูปภาพ"

คำว่าอีโมจินั้นเริ่มใช้จริงครั้งแรกในช่วงปี 1999 โดยที่นักวิจัยของบริษัทโทรศัพท์ของญี่ปุ่น DoCoMo (ชื่อบริษัทนี้ ใครเคยไปทำสัญญาหรือซื้อซิมโทรศัพท์ที่ญี่ปุ่นน่าจะรู้จัก) ซึ่งในตอนแรกทำขึ้นมาเพื่อใช้ในการสื่อสารง่ายๆ ผ่านเมสเสจของโทรศัพท์ โดยพูดสั้นๆ ง่ายๆ ก็คือเป็นเทคโนโลยีที่แปลงตัวหนังสือที่พิมพ์ลงไป ให้กลายเป็นรูปภาพขนาดเล็กๆ (12*12 พิกเซล) อย่างเช่นเวลาพิมพ์ตัวอักษร :D ลงไป ระบบก็จะแปลงเป็นรูปหน้ายิ้มแป้นสีเหลืองเป็นต้น นี่แหละคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อปี 1999 และเป็นครั้งแรกที่คำว่าอีโมจิเริ่มมีการใช้อย่างกว้างขวางในหมู่ประชาชนคนทั่วไป

คาโอโมจิ

แต่ว่าการใช้ภาพใบหน้าแทนคำพูดนั้น จริงๆแล้วมีมาก่อนเทคโนโลยีนี้จะเกิดขึ้นเสียอีก โดยสิ่งที่ใช้กันมาช้านานก่อนที่จะเกิดเทคโนโลยีนั้นเรียกว่า คาโอโมจิ (顔文字) มีความหมายว่า "ตัวหนังสือรูปใบหน้า" โดยคาโอโมจินั้นเป็นคำกว้างๆ ที่รวมถึงตัวหนังสืออะไรก็ตาม ที่พิมพ์ขึ้นมาเพื่อประกอบกันเป็นรูปใบหน้า ทั้งหน้ายิ้ม หัวเราะ ร้องไห้ เป็นต้น และแน่นอนว่าอิีโมจิ ก็นับเป็นคาโอโมจิ รูปแบบนึงเช่นกัน

แต่ คาโอโมจิ นั้นมีความหมายที่กว้างยิ่งกว่า เพราะรวมไปถึงการวาดภาพใบหน้าด้วยตัวอักษรสัญลักษณ์ต่าง โดยที่ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีแปลงเป็นหน้ายิ้มสีเหลืองๆ ที่กล่าวไปข้างต้นว่าเพิ่งคิดค้นเมื่อ 1999 ก็สามารถนับเป็นคาโอโมจิได้ อย่างเช่น

(^_^) 
(*_*) 
(´;ω;`)
(〃`・н・´〃)
( ˙ө˙)
ヽ(´∀`。)ノ゚

ใบหน้าต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการเอาสัญลักษณ์ต่างๆบนคีย์บอร์ด พิมพ์ออกมาประกอบกัน ซึ่งภาพเหล่านี้แหละที่เรียกว่า คาโอโมจิ และก็เชื่อกันว่าสิ่งนี้แหละที่เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดอีโมจิและอีโมติคอนในเวลาต่อมา ถ้าพูดกันง่ายๆก็คือเป็นบิดามารดาแห่งอีโมจิ อีโมติคอน ไลน์สติกเกอร์ และสัญลักษณ์รูปใบหน้าในแอปแชทต่างๆทั้งปวงก็ว่าได้

มีหลายแหล่งที่เชื่อว่าใบหน้าเหล่านี้ไม่ได้ถือกำเนิดขึ้นในอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ บ้างก็ว่าเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคพิมพ์ดีด บ้างก็เชื่อว่าเกิดในยุคคอมพิวเตอร์ที่ยังไม่มีอินเทอร์เน็ต

โดยเฉพาะหน้ายิ้ม :-) ที่พิสูจน์กันได้ว่าเกิดขึ้นครั้งแรกโดยชาวอเมริกันตั้งแต่ปี 1982 โดยในขณะนั้น อินเทอร์เน็ตที่เราใช้ๆกันอยู่ทั่วไปยังไม่มี มีแต่ระบบปิดที่เรียกว่า ARPANET ซึ่งเป็นระบบที่มีใช้เฉพาะองค์กรเท่านั้น เป็นหนึ่งในผลงานระหว่างการวิจัยของกลาโหมสหรัฐที่เป็นเหมือนปู่ทวดของอินเทอร์เน็ต แต่กว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตจริงๆที่คนทั่วไปใช้กันได้นั้นก็ 1989 เพราะฉะนั้นถ้าคิดกันตามจริง แม้จะคิดขึ้่นก่อน แต่ณ เวลานั้น ก็ไม่มีคนทั่วไปที่รับไปใช้จนฮิตแต่อย่างใด

ASCII ART ??

 5a2e4fb07dc7e_5a2e4aa874c9a_1

จริงๆก็ไม่ใช่ว่าต้องเป็นหน้าคนนะ อย่างอันนี้เป็นรูปหน้าแมว ที่มีหนวดสองข้างครับ เนื่องจากมีอักษรญี่ปุ่นปนอยู่ จึงพอเดาได้ว่ารูปนี้คิดโดยคนญี่ปุ่น หรือถ้าอยากวาดแมวเต็มๆตัว ก็ทำได้นะครับ
      ∧ ∧
~ ′ ̄ ̄(´ー`)
 UU ̄ ̄ U U

ออกมาเป็นแบบนี้เป็นต้น 

ทั้งหมดนี้ การวาดรูปด้วยตัวอักษรต่างๆที่คีย์บอร์ดมีมาให้ เรียกว่า ASCII art ซึ่งเกิดขึ้นในประมาณยุค 1970-1980 ที่คอมพิวเตอร์เริ่มเป็นที่นิยม โดยคำว่า ASCII (แอสกี้) นั้นหมายถึงระบบการแสดง "อักขระ" ที่ประกอบด้วยตัวอักษร ตัวเลข เครื่องหมาย และสัญลักษณ์ต่างๆรวม 128 ตัว ซึ่งเป็นระบบตัวอักษรที่ใช้ในการป้อนข้อมูลเข้าระบบคอมพิวเตอร์ยุคแรกๆ นั่นเอง

โดยเนื่องจากคนในยุคนั้นยังไม่มี MS Paint หรือโฟโต้ชอป คนที่มีความพยายาม (หรืออาจจะว่าง) ก็เลยคิดค้นการวาดรูปในคอมขึ้นมาด้วยตัวอักษรอย่างเดียว จนเกิดมาเป็น ASCII ART นี่แหละ

รู้ไหมไหมตัวนี้แปลว่าอะไร

 5a2e4fb1b766a_5a2e488c9e6bd_1

รู้ยังงี้แล้ว มาเดากันดีกว่าว่านี่คืออะไร

แน่นอนว่า แม้จะถูกเรียกเป็น ”ตัวอักษรแทนใบหน้า” แต่ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปหน้าเสมอไป 
ใครดูออกมั้ยว่า orz ดูดีๆแล้วเหมือนรูปอะไร (ใครที่แชทกับคนญี่ปุ่นบ่อยๆคงชิน)

นี่เป็นรูปคนคุกเข่า ก้มหน้า แล้วก็เอามือวางกับพื้น แสดงให้เห็นว่าเฟล หมดหวัง ประมาณนั้นครับ ดูออกยัง (ตอนเห็นครั้งแรกผมดูไม่ออกนะ)

 5a2e4fb2ef5f9_5a2e4b14a1396_1

ส่วนนี่คือรูปอะไรใครดูออกบ้าง

มันคือปลาหมึกครับ ปลาหมึกกล้วยวางนอน ซึ่งมีอักษรญี่ปุ่นปนเช่นกันเลยพอเดากันได้ว่าเกิดขึ้นในญี่ปุ่น
แต่คนต้นคิดนั้น ตอนทำคิดอะไรอยู่ อยากชวนเพื่อนไปกินปลาหมึกอย่างหรือเปล่า ก็สุดแล้วแต่ที่เราจะเดากัน

สรุป

อีโมจิ 
มาจากคำว่า 絵文字 (Emoji) ในภาษาญี่ปุ่น ปัจจุบันแทบทุกคนทั้งญี่ปุ่น ฝรั่ง ไทย และบริษัทต่างๆ รับคำนี้เอาไว้ใช้กล่าวถึงอักษรภาพรวมๆ ทั้งใบหน้าและไม่ใบหน้า รูปแมว รูปของกิน รูปรถ เรือ เครื่องบิน ก็มักจะเรียกกันว่าอีโมจิทั้งหมดแล้ว ยกเว้นแต่บริษัทไหนที่อยากจะใส่ความยูนิคให้กับระบบของตัวเอง เช่นไลน์ที่เรียกของตัวเองว่าสติกเกอร์เป็นต้น

คาโอโมจิ
Kao แปลว่าหน้า คำว่า 顔文字 (Kaomoji) จึงมักหมายถึงรูปใบหน้าเป็นหลัก (แต่ปัจจุบันถึงไม่ใช่รูปหน้าคนญี่ปุ่นก็โอเค) โดยผู้ที่ใช้ในปัจจุบันเป็นคนญี่ปุ่นซะเยอะ ฝรั่งและไทยไม่ได้รับมาใช้เป็นพิเศษ เป็นคำกว้างๆที่หมายถึงหลายๆอย่าง อะไรก็ได้ ทั้งการวาดภาพด้วย ASCII ART ในตัวอย่างด้านบน ทั้งเทคโนโลยี Emoji ที่ใช้ในปัจจุบัน และอื่นๆมากมาย 
และที่สำคัญคือการใช้คำนี้ของคนญี่ปุ่นเองไม่ได้หมายถึงรูปหน้าอย่างเดียวอีกต่อไป แม้ตอนถือกำเนิดจะเน้นใช้แสดงอารมณ์ แต่ในปัจจุบัน แม้จะไม่ได้วาดรูปใบหน้าก็เรียกว่าคาโอโมจิได้ เรียกว่าการใช้คำนั้นจะเริ่มมีความหมายทับซ้อนกับคำว่าอีโมจิไปแล้ว (ในหมู่คนญี่ปุ่น)

ASCII ART
ใช้เรียกศิลปะที่เกิดขึ้นมาจากการนำเอาตัวอักษร 128 ตัวในระบบ ASCII ที่มีใช้ในระบบคอมพิวเตอร์ยุคแรก มาวาดประกอบกันเป็นรูปภาพ แต่ในปัจจุบันใช้เป็นคำกว้างๆ เรียกรูปภาพอะไรก็ตาม ที่ประกอบจากอักษรนับหมื่นแสนในคอมพิวเตอร์ ไม่จำเป็นต้องเป็น 128 อักขระ ตามความหมายในยุคแรกอีกต่อไป

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook