อดีตคนซ่า 2018 แจ็คกี้ จักริน หรือ เต้ย เลือดข้นคนจาง เคยเกเรจนโดนพ่อต่อย
ใครจะไปเชื่อว่าชีวิตของหนุ่มน้อยหน้าใสอย่าง แจ๊คกี้ จักริน กังวานเกียรติชัย คนนี้จะมีชีวิตที่ขึ้นสุด ลงสุดจริงๆ หนุ่มน้อยคนนี้ใช้ชีวิตได้สุดโต่งแบบสุดๆ จนถึงจุดที่ตกผลึกแล้วหันกลับมาทำสิ่งที่ดีกับชีวิตตัวเองในที่สุด จนกลายมาเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่มีอนาคตไกลอย่างเช่นในวันนี้
โดยทาง Sanook! Campus เราก็ได้มีโอกาสพูดคุยและทำความรู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของหนุ่มน้อยคนนี้ และเราต้องบอกได้เลยว่า วัยรุ่นหลายๆ คนสามารถเอาชีวิตของ แจ็คกี้ จักริน ไปเป็นตัวอย่างการใช้ชีวิตของตัวเองได้อย่างดีเลยทีเดียว เอาล่ะ อย่ามัวรอช้า เรามาทำความรู้จักหนุ่มน้อยคนนี้ให้มากขึ้นกันเลย
แนะนำตัวก่อนเลย หลายคนอาจจะไม่ค่อยคุ้นหน้าเราสักเท่าไหร่ ?
"ผมชื่อ แจ็คกี้ จักริน ครับ อายุ 17 ปี ก่อนหน้านี้ผมเคยแสดงภาพยนตร์โฆษณาบ้าง 1-2 ตัว ส่วนเรื่องเรียนก็ตอนนี้ยังไม่ได้เรียนครับ เพราะผมจบมัธยมต้นที่กรุงเทพคริสเตียน และพอถึงชั้นมัธยมปลายผมก็สอบเริ่มสอบเทียบและรอเข้ามหาวิทยาลัย ผมอยากเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกันกับพี่กัปตันครับ คณะเดียวกันเลย"
ด้วยความที่เราเพิ่งจะอายุ 17 แต่ต้องมาเริ่มต้นทำงานเลย เราเคยรู้สึกไหมว่าเราต้องสูญเสียชีวิตวัยรุ่น ?
"ไม่เลยครับ ผมถือว่าใช้คุ้มแล้ว มันเหมือนผมไม่ได้รู้สึกว่าผมอยากจะนั่งใช้ชีวิตไปวันๆ หรือเขียนหนังสือเพื่อต้องการเลข 4 ตัวเดียว เราควรออกมาแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง หรือทำความฝันของตัวเองมากกว่า ซึ่งความฝันของผมก็คือ ผมฝันว่าสักวันผมจะได้มีเพลงเป็นของตัวเอง และก็ได้แสดงภาพยนตร์หรือซีรีส์ ผมชอบงานในวงการบันเทิงครับ"
เราบอกว่าเราชอบการแสดงและดนตรีขนาดนี้ สมัยที่เราเรียนอยู่ เราเคยตั้งวงดนตรีกับเพื่อนไหม ?
"มีครับ ผมทำวงและก็อยู่วงเดียวกันกับพี่ไอซ์ ชื่อวงเยลโลมาสตาร์ด ซึ่งผมเป็นนักร้อง เคยไปแข่งบ้าง ร้องประกวดบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะร้องตามงานเฟรชชี่หรือตามมหาวิทยาลัยมากกว่า"
ทำไมเราถึงรู้สึกว่าเราใช้ชีวิตคุ้มแล้วกับวัย 17 ปี เพราะสำหรับบางคนอาจจะยังรู้สึกว่ายังเป็นเด็กอยู่ ?
"คือผมรู้สึกว่าเวลาที่ผมคุยกับเพื่อน เราคุยกันคนละภาษา คุยไม่รู้เรื่อง ดังนั้นผมจึงคบแต่กับเพื่อนที่เป็นรุ่นพี่มากกว่า เพราะผมชอบคุยกับผู้ใหญ่ ชอบความคิดที่มีประสบการณ์ของเขา"
อะไรเป็นเหตุผลที่ทำให้เรารู้สึกว่าเราชอบคุยกับผู้ใหญ่ หรือชอบคบกับเพื่อนที่มีอายุมากกว่า ?
"เอ่อ...ช่วงแรกๆ ผมก็รู้สึกว่าเหมือนว่าตัวเองอยากโตนะ คืออยากเป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้อยากเป็นเด็ก อารมณ์คล้ายๆ กับฮอร์โมนพลุ่งพล่าน ซึ่งพอผมผ่านช่วงนั้นผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันก็ดีแล้วเหมือนกันที่สามารถผ่านมันมาได้ และได้มีประสบการณ์มากกว่าคนอื่นๆ"
ประสบการณ์ที่เราบอกว่ามันมากกว่าคนอื่น พอจะบอกได้ไหมว่าเป็นประสบการณ์แบบไหน หรือเป็นเรื่องอะไรบ้าง ?
"เรื่องการทำงานครับ เพราะตั้งแต่มัธยมต้นผมก็เริ่มเดินสายเล่นดนตรีแล้ว เล่นตามมหาวิทยาลัยต่างๆ น่าจะประมาณ 60-70 เวที คือผมรู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่มีความสุขมากเลยนะ"
จากที่ทราบมาทางบ้านเราเองก็มีฐานะ แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้เรารู้สึกว่าต้องการทำงานหาเงินเร็วๆ ?
"มันก็คงคุ้มกว่าเพื่อนมั้งครับ เราได้ออกมาทำงานก่อนเพื่อน ได้ใช้ชีวิตก่อนเพื่อน ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ทำงานเร็วกว่าคนอื่น เพราะผมรู้สึกว่าการที่เราต้องรอเรียนให้จบมหาวิทยาลัยและค่อยทำงาน มันช้าเกินไป ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ของผมท่านก็เข้าใจ เพราะผมตั้งใจว่าจะออกจากการเรียน ม.4 และเรียนสอบเทียบดีกว่า เพราะผมจะได้มีเวลาทำงานและก็เวลาเรียนไปพร้อมๆ กัน เนื่องจากมันจัดสรรเวลาได้"
ขอย้อนกลับไปถามเรื่องที่เราบอกว่าเราคุยกับเพื่อนรุ่นเดียวกันไม่รู้เรื่อง พอจะบอกได้ไหมว่ามีเรื่องอะไรบ้าง ?
"ก็อย่างเช่นเรื่องเกม เรื่องการ์ตูน ซึ่งผมไม่สนใจเลย อาจจะสนใจแค่สมัยประถม แต่พอขึ้นมัธยมผมก็แทบไม่สนใจเลย และหันมาสนใจเรื่องดนตรี รวมถึงงานแสดงมากกว่า"
เรามีอะไรอยากจะบอกน้องๆ ที่เขาคิดจะทำแบบเราให้เขารู้สึกมั่นใจไหมว่า มันสามารถทำได้และไปต่อได้จริงๆ ?
"เอ่อ...ผมมองว่ามันแล้วแต่คนมากกว่า แล้วแต่ประสบการณ์ของคนคนนั้น เพราะเอาจริงๆ สมัยเรียนผมเองก็เป็นเด็กที่เกเร โดดเรียน ไม่ตั้งใจเรียน คือเกเรมากที่สุด จนผมเริ่มรู้สึกเบื่อกับชีวิตตรงนั้น และก็ตั้งกฎกับตัวเองว่า จากนี้ไปผมจะขอทำอะไรที่ดีกับชีวิตตัวเอง ซึ่งก็คือการทำงานตรงนี้ครับ"
อะไรคือสิ่งที่ทำให้เด็กแสบอย่างเราเปลี่ยนตัวเอง และหันมาทำงาน รับผิดชอบในสิ่งที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ ?
"ไม่รู้เหมือนกันครับ อาจจะเป็นความเบื่อมั้ง เบื่อกับการทำสิ่งที่มันซ้ำๆ เดิมๆ และก็ไม่ได้อะไร ผมเบื่อจริงๆ นะ เบื่อจนไม่อยากจะทำอะไรตรงนั้นแล้ว"
ถ้าจะให้พูดถึงวีรกรรมที่เราคิดว่ามันแสบที่สุดของเรา คือวีรกรรมอะไร ?
"ก็น่าจะเป็นการชวนเพื่อนโดดเรียนมั้งครับ และก็หนีเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นวีรกรรมที่สร้างความปวดหัวให้คุณพ่อคุณแม่พอสมควร จริงๆ เยอะมากเลยด้วยซ้ำ ถึงขั้นโดนคุณพ่อต่อย แต่ว่าก็ไม่ได้ต่อยแรงนะครับ และจากนั้นคุณพ่อคุณแม่ก็เริ่มเข้าใจว่าผมเป็นยังไง ท่านก็เริ่มปล่อย ซึ่งการปล่อยของท่านก็ไม่ใช่ปล่อยแบบเลยตามเลย แต่ท่านจะมีกฏมีกรอบให้เราแบบเข้าใจได้ เช่นเรื่องเวลากลับบ้าน หรือเวลาที่เราคิดจะทำอะไรก็แล้วแต่ ให้เรามาบอกกับท่านก่อน เพื่อที่ท่านจะได้รับทราบ"
แสดงว่าถ้าไม่มีเหตุการณ์นั้น ก็จะไม่มีวันนี้ ?
"ใช่ครับ"
ถ้าจะขอให้เล่า เราพอจะเล่าได้ไหมว่าสาเหตุที่ทำให้คุณพ่อต้องต่อยเราคืออะไร ?
"ก็เรื่องหนีเที่ยว และก็กลับมาบ้านเช้า คือทำบ่อย ซึ่งตอนแรกท่านก็ไม่ทราบแต่ว่าวันนั้นท่านเหมือนจับได้พอดี"
เราได้วางแผนชีวิตของเราหลังจากนี้ไว้ยังไงบ้าง ?
"จริงๆ ก็ตั้งใจว่าจะเข้ามหาวิทยาลัยปีนี้นะครับ แต่ว่าไม่สามารถทำได้เพราะตารางงานของผมมันแน่นมากจริงๆ ก็เลยต้องขอทุ่มเวลาปีนี้ให้กับการทำงานก่อน และปีหน้าก็ค่อยว่ากันอีกทีเรื่องเรียน"
คาแรคเตอร์ที่เด่นชัดของเราใน 9by9 คืออะไร ?
"ถ้าคาแรคเตอร์สำหรับผมก็คงเป็นคนซื่อๆ พูดตรงๆ และก็ชอบเล่นมุขตลกแบบผิดจังหวะ (ยิ้ม)"
การเป็นไอดอลทำให้เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ?
"หลายอย่างเลยครับ มีหลายอย่างในชีวิตผมเปลี่ยนไปตั้งแต่ผมได้รับโอกาสนี้ ทั้งระเบียบวินัยในชีวิต การตรงต่อเวลา หรือแม้กระทั่งการวางตัวในการเข้าหาผู้ใหญ่ โปรโจคนี้ทำให้ผมเติบโตขึ้น และเอาจริงๆ นะ ผมมองว่าคำว่าไอดอลมันยังไม่เหมาะกับผมด้วยซ้ำ เพราะผมยังไม่สามารถเป็นไอดอลให้ใครได้"
จากที่สัมภาษณ์มาตลอด เราบอกว่าเราอยากเป็นผู้ใหญ่ และจริงๆ แล้วการเป็นผู้ใหญ่มันง่ายเหมือนที่เราคิดไหม ?
"ไม่ใช่เลยครับ เพราะความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่แบบนั้น มันยังมีอีกตั้งหลายอย่างที่ผมขาดไป ทั้งระเบียบวินัย และการใช้คำพูด ซึ่งการที่ผมเคยคิดว่าผมโตแล้ว จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลยครับ มันยังมีอะไรมากกว่านั้นอีกเยอะเลย"
อัลบั้มภาพ 19 ภาพ