กัปตัน ชลธร มีวันนี้เพราะเพื่อนให้ มิตรภาพดีๆ ที่หาได้ในมหาวิทยาลัย

ฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ เพราะหลังจากที่ผ่านมรสุมชีวิตอันแสนหนักไปได้ ตอนนี้ดูเหมือนชีวิตของ กัปตัน ชลธร คงยิ่งยง ก็ดูจะรุ่งเอาๆ ทั้งงานแสดงอย่าง เลือดข้นคนจาง และงานเพลงอย่าง 9by9 แต่ชีวิตของเขาก็ดูไม่ได้โรยกลีบกุหลาบเสมอไป เพราะทั้งงานการแสดงและงานเพลงมันอาจจะส่งผลกระทบเรื่องการเรียนของเขาเป็นอย่างมาก แต่ว่าเขาเป็นคนที่โชคดีมากๆ ที่คนรอบข้างเอ็นดูและให้การสนับสนุนจนมีวันนี้ได้

ในครั้งนี้ Sanook! Campus เราก็มีโอกาสได้เข้าไปพูดคุยกับหนุ่มน้อยที่เอาจริงเอาจังในความฝันตัวเอง ตาของเขาเป็นประกายทุกครั้ง เมื่อพูดถึงสิ่งที่เขารัก ถึงแม้ว่าตัวของเขาจะดูเป็นคนติ๋มๆ นิ่งๆ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องความฝันของเขาแล้วเราสัมผัสได้ถึงความสุขจากรอยยิ้มของเขาตลอดการคุยกัน ซึ่งเราก็อยากแบ่งปันตัวตนที่แท้จริงที่เราได้สัมผัส กัปตัน ชลธร มาให้เพื่อนๆ ได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาบ้าง

 

อัปเดตเรื่องการเรียนของเราสักหน่อย ตอนนี้เป็นยังไงบ้าง ?

"ครับผม ตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่ชั้นปีที่ 3 คณะนวัตกรรมสื่อสารสังคม มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เป็นคณะเดียวกันกับเจเจเลย แต่เราแค่เรียนกันคนละสาขาวิชา (ยิ้ม)"

เคยเห็นข่าวก่อนหน้านี้ที่บอกว่า เราอาจจะดรอปเรียนเพื่อลุยโปรเจค 9by9 ?

"จริงๆ ก็คิดว่าจะดรอปนะครับ แต่ตอนนี้ก็พยายามสู้อยู่เหมือนกัน คือถ้าหากสู้แล้วมันไม่ไหวจริงๆ ก็คงต้องดรอปครับ ถามว่าการเรียนช่วงนี้ของผมหนักไหม เอ่อ...มันก็หนักเหมือนกันนะครับ แต่แค่ผมรู้สึกว่าผมโฟกัสไปที่เรื่องการทำงานมากกว่า เพราะมันก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่เข้ามา แต่อย่างที่บอกตอนนี้เรื่องเรียนผมก็พยายามสู้อยู่ และถ้าหากสุดท้ายบางตัวไม่สามารถไปต่อได้จริงๆ ก็คงต้องดรอปครับ

ทุกวันนี้เราแบ่งเวลาให้กับตัวเองยังไง เพราะต้องเรียนไปด้วย และก็ทำงานไปด้วย ?

"ถ้าเรื่องเรียนผมก็พยายามตามงานหรือส่งงานให้ทันกำหนด และก็พยายามคุยกับอาจารย์ให้ได้มากที่สุด ส่วนงานโปรเจค 9by9 ผมก็ถือว่ามันเป็นงานเดียวของผม ที่ผมต้องบอกว่าผมยอมดรอปเรียนได้เพื่องานนี้ ซึ่งมันอาจจะทำให้ผมไม่จบพร้อมเพื่อน แต่ผมก็จะพยายามให้มากที่สุด เพราะที่ผ่านมาผมไม่เคยดรอปเลย"

จากการสัมภาษณ์เพื่อนๆ กลุ่มศิลปิน 9by9 ทุกคนลงความเห็นว่าเป็นโปรเจคที่หนักมาก ตัวเราเองคิดแบบนั้นเหมือนกันไหม ?

"มันก็หนักจริงๆ นะครับ เพราะเราทุกคนต่างก็คิดว่าโอกาสที่ได้มา ณ ตอนนี้ มันไม่ใช่โอกาสที่ได้มาฟรีๆ หรือทำเล่นๆ ให้มันผ่านไปวันๆ แต่มันเป็นงานที่เราต้องใช้ความพยายามและทำมันให้ออกมาดีที่สุด"

จากเหตุการณ์ต่างๆ ที่ผ่านมาที่เกิดขึ้นกับเรา มันทำให้เห็นได้ชัดเลยว่าเรามีเพื่อนที่ดีมากๆ กัปตันพอจะบอกได้ไหมว่าเรามีวิธีคบเพื่อนยังไง หรือดูแลมิตรภาพของเรากับเพื่อนยังไง ?

"ผมมองว่ามิตรภาพคือการที่เราแชร์เรื่องราวต่างๆ ร่วมกันนะครับ คือถ้าหากเราแชร์ให้เพื่อนเห็นตัวตนเราในทุกด้าน ไม่ใช่แค่ด้านดีๆ อย่างเดียว ให้เพื่อนได้เห็นด้วยว่าเราเองก็มีมุมที่แย่เหมือนกันนะ เพราะถ้าหากต่อหน้าเพื่อนเราโชว์แต่ด้านดีๆ และพอเกิดเหตุการณ์ร้ายๆ ขึ้นมาเขาอาจจะรับเราไม่ได้ก็ได้ ซึ่งมันคงไม่เวิร์กหรอกครับ ดังนั้นผมจึงมองว่าถ้าหากเราเปิดใจกับคนที่เราคิดว่าเราอยากจะอยู่ด้วยนานๆ มันก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดี"

โดยปกติแล้วเวลาที่มีปัญหาเกิดขึ้น กัปตันจะคุยทุกอย่างกับเพื่อนไหม ?

"ไม่นะครับ มันแล้วแต่คนมากกว่า แล้วแต่เรื่องราวนั้นๆ ด้วย"

กับสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นกับเรา เรามีอะไรอยากจะพูดถึงเพื่อนบ้าง ?

"ผมถือว่าผมโชคดีนะ ที่ผมมีเพื่อนที่ดี และก็มีเพื่อนที่รัก ซึ่งผมเองก็รู้นะว่าไม่ใช่เพื่อนที่ดีมากนัก หรือมีเวลาให้กับเพื่อนมาก แถมยังมีโลกส่วนตัวสูงอีกด้วย แต่ผมก็พยายามเปิดใจและเทคแคร์เพื่อนให้มากที่สุด ในเวลาที่เราได้เจอกัน"

การเป็นไอดอลมันมีกฎเกณฑ์บางอย่างที่อาจจะเป็นข้อห้าม หรือข้อปฏิบัติ ตัวกัปตันเองมองถึงจุดนี้ยังไง ?

"เอ่อ...ผมไม่ได้อยากจะเรียกตัวเองว่าเป็นไอดอลนะครับ เพราะผมรู้สึกว่าผมไม่สามารถเป็นไอดอลของใครได้ แต่ผมแค่อยู่ในเส้นทางของงานศิลปะ ซึ่งงานศิลปะมันอาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนได้เหมือนกัน แต่ผมคงไม่สามารถเป็นตัวอย่างให้คนทำตามได้"

ถ้าหากเรามีโอกาสได้สื่อสารกับคนที่มองเราเป็นตัวอย่าง เราคิดว่าเราอยากจะสื่อสารด้านไหน หรือจดจำมุมไหนของเรา ?

"ผมก็คงไม่กล้าพูดหรอกครับว่าอยากให้เขาจดจำด้านไหน เพราะอย่างที่บอกผมไม่ได้อยากให้ใครมองผมเป็นต้นแบบในการใช้ชีวิต เพราะผมรู้ว่าทุกคนสามารถใช้ชีวิตของตัวเองในทางที่คุณเลือกได้ ทุกคนมีความชอบไม่เหมือนกัน โตมาไม่เหมือนกัน ขอแค่คุณอย่าทำอะไรให้คนอื่นต้องเดือดร้อนก็เท่านั้นเอง"