"เต๊ะ ศตวรรษ" ไอดอลยุค 2000 กับการอยู่กับโรคซึมเศร้าโดยที่รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า

"เต๊ะ ศตวรรษ" ไอดอลยุค 2000 กับการอยู่กับโรคซึมเศร้าโดยที่รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า

"เต๊ะ ศตวรรษ" ไอดอลยุค 2000 กับการอยู่กับโรคซึมเศร้าโดยที่รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ชื่อ เต๊ะ ศตวรรษ นั้นถือว่าเป็นไอดอลนักแสดงมากความสามารถและมีชื่อเสียงมากๆ ในยุค 2000 ซึ่งจะเรียกได้ว่าเป็นวัยรุ่นที่โด่งดังอันดับต้นๆ ของประเทศไทยและสามารถไปตีตลาดประเทศจีนได้เป็นรุ่นแรกๆ เลยทีเดียว ซึ่งในครั้งนี้เราก็ได้มีโอกาสที่จะได้พูดคุยกับ เต๊ะ ศตวรรษ อย่างส่วนตัว เพื่ออัปเดตชีวิต ไอดอลดาวรุ่งยุค 2000 ที่ตอนนี้ผันตัวมาเป็นผู้กำกับอยู่เบื้องหลังแล้วนั่นเอง

 te(17)

เรียกว่าเป็นครั้งแรกเลยที่เราได้ออกมาสัมภาษณ์นอกสถานที่เป็นครั้งแรก ซึ่งสร้างความประหม่าอยู่แล้ว แต่นี่เราได้โอกาสที่ไปสัมภาษณ์กันถึงบ้านเลยทีเดียว งานนี้บอกเลยว่าเกร็งมากอะไรมาก แต่เมื่อมาถึงหน้างานถึงบ้านพี่เต๊ะแล้วบอกได้เลยว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนที่เป็นกันเองมากๆ ทำให้ความเกร็งความเครียดของเราหายไปในทันที พี่เต๊ะเดินมาต้อนรับเราถึงหน้าบ้าน เชิญเราเข้าไปในห้องรับแขกที่เต็มไปด้วยของที่ระลึกเกี่ยวกับฟุตบอลที่เขารัก

te(11)

ทางเราก็ตั้งกล้องสัมภาษณ์จัดที่จัดทางให้เรียบร้อยเพื่อให้เหมาะกับการสัมภาษณ์ ก่อนที่จะเริ่มเข้าการพูดคุยสัมภาษณ์อย่างเป็นทางการ

"สวัสดีครับ ผม เต๊ะ-ศตวรรษ เศรษฐกร สำหรับชีวิตของเต๊ะตอนนี้ งานหลักส่วนใหญ่จะอยู่ที่เมืองไทยครับ เป็นการทำงานในฐานะผู้กำกับ อย่างล่าสุดก็มีผลงานกำกับเรื่อง Sugar Cafe และมิวสิควิดีโอต่างๆ ของทาง Mono ครับ"

การทำงานที่หลากหลาย ทั้งนักแสดง นักร้อง เบื้องหลัง ทุกอย่างทำมาหมดแล้ว อะไรที่เอ็นจอยที่สุด ?

"แต่ถ้าถามว่างานไหนที่ผมทำแล้วรู้สึกสนุกที่สุด เอ่อ...ผมรู้สึกว่ามันสนุกคนละแบบนะครับ" พี่เต๊ะ เปลี่ยนท่านั่ง พร้อมทำท่าคิดอย่างจริงจัง "เพราะการเป็นนักแสดงเราก็จะได้แสดงบทบาทในชีวิตที่เราไม่ได้เป็น รวมถึงได้รับความรักและความอบอุ่นจากแฟนๆ ที่ติดตามผลงาน แต่ว่าการเป็นผู้กำกับหรือคนทำงานเบื้องหลัง ฐานของแฟนคลับที่ชื่นชมเราก็อาจจะเปลี่ยนไป และอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้มากกว่าการเป็นนักแสดงด้วยซ้ำ เนื่องจากการที่เราทำงานไม่ว่าจะเป็นงานรีเมคหรืองานหยิบนวนิยายมาดัดแปลง งานเหล่านั้นมันก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับวิธีการเล่า ซึ่งบางครั้งมันก็อาจจะไม่ตรงกับความรู้สึกของคนดู และนั่นเองก็คือหน้าที่ของผู้กำกับที่จะต้องรับผิดชอบ รวมถึงทำความเข้าใจกับแฟนคลับที่ติดตามผลงานนั้นๆ อยู่"

48277508_10213951947734431_61

พี่เต๊ะคิดว่าในชีวิตการทำงานของเรา คำแนะนำที่ดีที่สุดที่เราเคยได้รับคือเรื่องอะไร ?

น่าจะเป็นคำแนะนำที่มาจากตัวเองนี่ล่ะครับ เอ่อ...ผมจำได้ว่ามันเคยมีอยู่วันหนึ่ง เป็นวันที่ผมเรียกน้องๆ Sugar Cafe มาประชุมด้วยกัน ซึ่งผมก็ได้ถามพวกเขาว่า 'มีอะไรบ้างที่ไม่อยากจะเจอในกองถ่าย' และคำตอบที่ได้จากน้องๆ ทุกคนก็คือ 'ห้ามด่าพวกหนูกลางกองถ่าย' (หัวเราะ) ซึ่งผมก็เข้าใจเพราะเขาบอกว่าเขากลัว และในมุมกลับกันในวันที่ผมเป็นนักแสดงผมเองก็เคยโดน คือผมรู้สึกว่าจริงๆ มันก็ไม่ได้ช่วยให้นักแสดง สามารถที่จะปรับหรือเล่นให้ดีขึ้นได้เลยนะ แถมยังเป็นการสร้างแรงกดดันให้เขาด้วยซ้ำ วันนั้นผมก็เลยบอกกับพวกเขาไปว่า 'จะไม่มีการว่าหน้ากองแน่นอน แต่ถ้าหากอันไหนไม่ตรงเราก็จะต้องมานั่งคุยกัน' ก็จะเป็นการพูดคุยกันประมาณนี้ครับ"

อย่างตอนนี้พี่เต๊ะขึ้นมาเป็นผู้กำกับแล้ว เราได้มีคำแนะนำอะไรไหมที่มอบให้กับน้องๆ ที่ร่วมงานด้วย ?

"สำคัญที่สุดเลยก็คือเขาต้องรักตัวละครครับ ถึงแม้ตัวละครนั้นๆ อาจจะไม่ตรงกับชีวิตจริงของเขา หรือใกล้เคียงกับสิ่งที่เขาอยากเล่น แต่ในเมื่อเขาต้องรับบทบาทนี้ เขาก็ต้องทำความเข้าใจกับมันและรักตัวละครนั้นให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าเขาสามารถทำอย่างนั้นได้ เขาก็จะสามารถถ่ายทอดออกมาในลักษณะของการแสดง และเข้าถึงความรู้สึกของผู้ชม ที่ชมอยู่หน้าจอได้อย่างแน่นอน"

27336881_10211765862443665_32

ก่อนหน้านี้พี่เต๊ะได้เคยให้สัมภาษณ์ว่าพี่เต๊ะเป็นโรคซึมเศร้า พี่เต๊ะพอจะบอกได้ไหมว่าผ่านช่วงเวลานั้นมาได้ยังไง ?

"จริงๆ ผมก็ยังเป็นอยู่นะครับ (หัวเราะ) เอ่อ...แต่ถ้าถามว่าผมอยู่กับมันได้ยังไง คือก่อนอื่นเลยเราต้องยอมรับว่าเราเป็นคนป่วยที่พร้อมจะรับการรักษาในรูปแบบต่างๆ และก็ต้องตั้งเป้ากับตัวเองด้วยครับว่าเราจะต้องหาย ซึ่งตัวผมเองรักษาโรคนี้มาหลายปีแล้วครับ ที่ผ่านมาผมก็ทำตามคำแนะนำของคุณหมอมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทานยาหรือการดูแลตัวเอง ฉะนั้นก็อย่างที่บอกครับเราต้องยอมรับความเป็นจริงให้ได้ และหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้ได้ หรือถ้ามันจำเป็นจะต้องเผชิญหน้าจริงๆ เราก็ต้องหาทางรับมือกับมันโดยทำให้เราทุกข์น้อยที่สุด ซึ่งทั้งหมดที่ผมพูดมาการพูดมันง่ายครับแต่เมื่อถึงเวลาทำจริงๆ แล้วมันยาก เพราะผมเคยผ่านมันมาแล้ว"

"ผมมองว่าการที่ผมเป็นโรคซึมเศร้าและผมรู้ตัวเองว่าผมป่วย มันก็ถือว่าเป็นเรื่องที่โชคดีนะครับ เพราะยังมีหลายคนอีกเหมือนกันที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองป่วย และอาจจะตัดสินใจอะไรผิดพลาดไป ฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้คนทุกๆ คนช่วยสังเกตคนรอบข้างของเราด้วยว่า คนที่อยู่ใกล้ตัวเราเขากำลังเข้าสู่โลกภาวะซึมเศร้าโดยที่เขาไม่รู้ตัวหรือเปล่า"

"ผมยอมรับนะครับว่า ผมเคยรู้สึกว่าการเป็นโรคซึมเศร้ามันคือโรคที่น่ากลัว เป็นโรคที่น่าละอาย และเป็นโรคที่ไม่น่าพูดถึง แต่ในวันที่ผมไปโรงพยาบาลครั้งแรก ภาพที่ผมเห็นก็คือมีคนไปหาคุณหมอเป็นจำนวนหลายร้อยคนเลย ซึ่งมันเยอะมาก โดยคุณหมอก็ได้ให้ข้อมูลกับผมว่า จริงๆ แล้วโรคซึมเศร้าคือโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับ 1 ใน 3 ของคนทั่วไป เนื่องจากเราอยู่ในสังคมที่ค่อนข้างมีการดิ้นรน ยิ่งคนที่ทำงานในลักษณะประเภทเดียวกับพวกผม หรือคนที่ใช้ความคิดเยอะๆ ก็อาจจะเข้าสู่ภาวะของความเครียดได้ง่าย ซึ่งความเครียดก็คือจุดหนึ่งครับที่อาจจะทำให้เกิดโรคซึมเศร้าได้ ชนะในเมื่อเรารู้ตัวว่าเราเป็นโรคซึมเศร้าและมันไม่ได้เป็นโรคที่ประหลาด เราก็ควรที่จะรีบปรึกษาหมอโดยทันที รวมถึงอย่ากลัวที่จะบอกกับคนรอบข้างว่าเรากำลังป่วย เพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งเร้าต่างๆ มันก็ไม่ใช่สิ่งไกลตัวอะไรหรอก แต่มันคือคนรอบข้างเรานั่นเอง"

12108290_10205461224391654_36

นอกจากจะทำงานทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังแล้ว พี่เต๊ะก็ยังทำงานการกุศลช่วยเหลือน้องหมาน้องแมวด้วย ?

"เรื่องการช่วยเหลือน้องหมาน้องแมวผมทำมาหลายปีแล้วนะครับ มันน่าจะเริ่มมาจากการที่ผมเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอื่น และพอได้มีโอกาสเลี้ยงน้องหมาน้องแมวเป็นของตัวเอง ก็เลยทำให้รู้สึกว่าน้องหมาน้องแมวที่ผมไม่ได้เลี้ยงเขาก็น่าจะต้องการความช่วยเหลือเหมือนกัน คือแค่การทำให้เขาได้มีบ้านหรือมีสุขภาพที่ดี มันก็น่าจะเป็นการช่วยเหลือที่ไม่เกินกำลังของเรามากเกินไป"

"เอาจริงๆ นะผมมองว่าการทำจิตอาสา ประเด็นหลักมันไม่ได้อยู่แค่ที่เงินเท่านั้น แต่อยู่ที่ใจเราด้วยเหมือนกัน ซึ่งผมก็จะพยายามใช้พื้นที่โซเชียลของตัวเองในการประกาศตามหาบ้าน หรือถ้าต้องไปฉีดวัคซีนให้กับพวกเขา ผมก็จะทำหน้าที่ไปช่วยจับไปช่วยลงแรงครับ คือมันสามารถช่วยเหลือกันได้ทุกรูปแบบทุกทิศทาง"

"ส่วนตัวผมนะ ผมมองว่าปัญหาสุนัขจรจัด ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องเร่งแก้ไขด้วยการจับ แต่เราต้องทำความเข้าใจให้ได้ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้เขาเป็นสุนัขจรจัดเหมือนที่เป็นอยู่ อย่างเช่นคนเลี้ยงก็ต้องมีการลงทะเบียนหรือขึ้นทะเบียนให้กับสุนัข แต่อย่างที่ทราบพอมีเรื่องค่าใช้จ่ายเข้ามาคนก็ไม่เอากันอีก ดังนั้นผมจึงมองว่าการจับสุนัขจรจัดไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ตรงจุด แต่ ควรจะทำอย่างไรมากกว่าให้เขาลดลงตามธรรมชาติ ซึ่งที่ผ่านมาผมก็พยายามทำหมันให้กับพวกเขาร่วมกับหลายองค์กร เพื่อเป็นการลดปัญหาระยะยาวครับ"

"แต่ต้องขอเพิ่มเติมสำหรับคนที่เลี้ยงสัตว์อีกนิดหนึ่งนะครับ คือไม่ว่าเราจะเลี้ยงอะไรก็แล้วแต่เราก็ควรที่จะมีความพร้อม ไม่ใช่จะซื้ออะไรมาเลี้ยงก็ได้โดยที่เรายังไม่พร้อมที่จะรับผิดชอบเขา สัตว์เขาก็มีชีวิตเหมือนกับคน หากเขาป่วยหรือเป็นอะไรไปมันมีค่าใช้จ่ายทั้งหมด และเมื่อเราไม่พร้อมจนต้องนำเขาไปปล่อย นั่นแหละครับก็จะเป็นต้นเหตุของปัญหาที่ตามมา ซึ่งก็คือเรื่องสุนัขจรจัด"

1498002_10201400664120185_211

หากวันนี้พี่เต๊ะสามารถกลับไปบอก ตัวเองในอดีตได้พี่เต๊ะอยากจะบอกอะไรกับตัวเองบ้าง ?

"ทำไมไม่เรียนภาษาจีนให้เร็วกว่านี้ (หัวเราะ) มันมีเหตุผลนะครับ ก็คือว่าทุกวันนี้ผมยังเขียนอ่านภาษาจีนไม่ค่อยได้เลย เนื่องจากที่ผ่านมาผมใช้วิธีการจำมาตลอด ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะผมเข้าไปในวงการนั้น ทั้งๆ ที่ผมยังไม่มีความพร้อมในด้านของการใช้ภาษา และก็ไม่มีเวลาไปเรียนเพิ่มเติมด้วย ดังนั้นถ้าหากผมสามารถย้อนเวลาไปได้ผมก็อยากที่จะตั้งใจเรียนภาษาจีนครับ (หัวเราะ) ผมจำได้เลยว่าตอนที่ผมได้ไปทำงานที่นั่นครั้งแรก ผมคิดว่าคงไปแป๊บเดียวแล้วเดี๋ยวก็กลับ เนื่องจากตลาดบ้านเขาเป็นตลาดที่ใหญ่ แถมยังมีนักแสดงเก่งๆ อีกตั้งเยอะ แต่สุดท้ายก็อยู่มายาวเลยครับ"

พอจะบอกได้ไหมว่าสิ่งที่ดีที่สุดของการเป็น เต๊ะ ศตวรรษ คืออะไร ?

"เอ่อ...น่าจะเป็นการที่ผมได้มาเป็นคนในวงการบันเทิง เพราะนั่นทำให้ผมได้มีโอกาสเจอกับคนหลากหลายรูปแบบ ได้แสดงความคิดเห็นในรูปแบบต่างๆ ที่สามารถทำให้คนมองเห็นได้ แต่ว่าการเป็นบุคคลสาธารณะก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นๆ หรือการเป็นบุคคลสาธารณะก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะต้องเป็นที่ระบายอารมณ์ให้กับใครเหมือนกัน เพราะผมเองก็เหมือนกับคนทั่วไปนั่นแหละครับ มี 1 สิทธิ์ 1 เสียงเหมือนกัน และในมุมของการแสดงออกต่างๆ ผมเองก็อยากให้มองว่า ผมก็เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ที่สามารถแสดงออกเรื่องความคิดเห็นได้เหมือนกับคนทั่วๆ ไปครับ"

te(3)

อะไรคือเหตุผลที่ทำให้พี่เต๊ะอยากตื่นขึ้นมาทำงานในทุกๆ วัน ?

"เพราะรู้ว่าเดี๋ยวก็ต้องได้นอนต่อครับ (หัวเราะ) เอ่อ...ผมต้องบอกก่อนว่าสำหรับคนที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าเราจะมีความกลัวครับ ซึ่งการตื่นสำหรับพวกเรามันเป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะเราจะคิดอยู่ตลอดว่าเราจะตื่นมาแล้วใช้ชีวิตยังไง หรือถ้าจะให้นอนต่อเราก็นอนไม่หลับ เนื่องจากว่าถ้าหลับแล้วเราก็ไม่รู้ว่าถ้าตื่นขึ้นมาแล้วเราจะต้องทำอะไรอีก มันเหมือนชีวิตของเราวนเป็นลูปเดิม แต่ผมก็ยังมองว่าผมยังโชคดี โชคดีที่การที่ผมได้มาทำงานตรงนี้มันมีทั้งคนรักและมีคนที่เกลียด แต่นั่นก็ทำให้ผมรู้สึกว่าชีวิตผมมีค่ามากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากผมสามารถใช้พื้นที่ของผมตรงให้มันมีประโยชน์ที่สุดเท่าที่ผมสามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการสร้างผลงาน หรือการช่วยเหลือน้องหมาน้องแมวอย่างที่ผมทำอยู่"

สุดท้ายนี้อยากให้พี่เต๊ะฝากผลงานของเราให้เป็นแฟนที่คิดถึงได้ติดตาม ?

" ผลงานที่อยากจะฝากตอนนี้นะครับก็คือ Sugar Cafe อยากให้เป็นเพื่อนๆ ชาวสนุกทุกคนช่วยติดตามผลงานชิ้นนี้ด้วย อยากให้ทุกคนเห็นมุมมองของตัวละครที่หลายๆ คนชอบ ในอีกรูปแบบหนึ่ง ฝากเอาไว้ด้วยนะครับ"

อัลบั้มภาพ 35 ภาพ

อัลบั้มภาพ 35 ภาพ ของ "เต๊ะ ศตวรรษ" ไอดอลยุค 2000 กับการอยู่กับโรคซึมเศร้าโดยที่รู้สึกว่าชีวิตมีคุณค่า

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook