"นนท์ ธนนท์" อีกมุมที่หลายคนไม่รู้ เขาเคยเป็นผู้รับมาก่อน จึงมีความสุขกับการเป็นผู้ให้
ถ้ามีใครเอ่ยชื่อ นนท์-ธนนท์ ขึ้นมา หลายๆ คนก็คงต้องนึกถึงหนุ่มหล่อร่างสูง เสียงดี ฟังเสียงของเขาแล้วมีความสุขมากๆ เป็นอย่างแรก แต่สิ่งที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่รู้กับหนุ่มมากความสามารถคนนี้ก็คือ เขามีความสุขที่จะเป็นผู้ให้ เพราะการให้ทำให้เขารู้สึกว่าได้ตอบแทนสังคม และช่วยทำให้ชีวิตของคนอื่นมีความสุขขึ้น และที่สำคัญตัวของเขานั้นก่อนที่จะมาถึงในวันนี้ได้นั้น เขาก็เคยเป็นผู้รับมาก่อนเหมือนกัน ดังนั้นเขาจึงเข้าใจดีว่าความสุขของการได้รับและการให้มันเป็นอย่างไร ซึ่งในวันที่เขามีโอกาสที่จะได้ตอบแทนและเป็นผู้ให้ เขาจึงไม่พลาดที่จะปล่อยโอกาสดีๆ ในการตอบแทนสังคมต้องหลุดลอยไป
ทาง Sanook! Campus เราได้มีโอกาสที่ได้ไปเจอกับ นนท์-ธนนท์ ใน โครงการ Wonder View 3 ของมูลนิธิฟอร์เวิร์ด ที่ ศูนย์สร้างโอกาสเด็กพระราม 8 กับการส่งมอบแว่นตานักเรียนเพื่ออนาคตการเรียนรู้ เราจึงได้มีโอกาสในการพูดคุยและทำความรู้จักกับตัวตนของนนท์ ในโหมดการเป็นผู้ให้มาให้เพื่อนๆ ได้รู้จักอีกมุมของเขากันให้มากขึ้น
อยากให้นนท์พูดถึงโครงการนี้หน่อย โครงการ Wonder View จัดขึ้นมาเพื่ออะไร ?
สำหรับโครงการ Wonder View ที่จัดขึ้นในครั้งนี้ก็ถือได้ว่าเป็นครั้งที่ 3 แล้วครับ เป็นโครงการของทาง Forward Foundation โดยรูปแบบของโครงการก็จะเป็นในลักษณะของการให้ความช่วยเหลือน้องๆ ที่มีความผิดปกติทางสายตา และด้วยความที่ตัวผมเองก็เป็นคนที่สายตาสั้นอยู่แล้ว พอมีพี่ๆ ชักชวนมาให้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งผมก็ตอบตกลงเลยทันที ซึ่งครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 2 แล้วครับที่นนท์ได้มีโอกาสมาร่วมโครงการ
เพราะอะไรเราถึงเลือกที่จะร่วมกับโครงการนี้ ?
เอ่อ...เอาจริงๆ ผมเองก็ไม่เคยเลือกนะ ผมแค่มองว่าถ้าหากเขาชวนมาและผมช่วยได้ผมก็ยินดีที่จะช่วยเสมอ ขอบคุณ wonder view มากๆ นะครับ ที่เปิดโอกาสให้ผมได้ช่วยเหลือน้องๆ
ด้วยความที่เราเองก็เป็นคนที่มีปัญหาด้านสายตา เราคิดว่าการที่คนคนหนึ่งไม่มีแว่น มันเป็นปัญหาในการใช้ชีวิตมากน้อยแค่ไหน ?
มากครับ มากๆ ผมขอยกตัวอย่างจากประสบการณ์ของตัวเองเลยละกัน ก็คือว่าสมัยก่อนแว่นสายตามีราคาแพงมากในการตัดแต่ละครั้ง และแว่นครั้งแรกที่ผมตัดตอนนั้นผมก็สายตาสั้นไปแล้ว 300 ซึ่งมันเป็นค่าสายตาที่สูงมาก และมันก็เป็นปัญหาใหญ่มากๆ เช่นกันสำหรับเด็กคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการเรียน การใช้ชีวิต หรือการทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อนๆ มันเป็นอะไรที่ลำบากมากครับ
หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่าสายตาสั้นมันสำคัญมากขนาดนั้นเลยเหรอ ?
ผมขอบอกด้วยครับว่ามันสำคัญมาก ถ้าหากเรามองเห็นไม่ชัดเราก็จะเรียนไม่รู้เรื่อง และถ้าเราเรียนไม่รู้เรื่อง เราก็จะไม่ประสบความสำเร็จด้านการศึกษา ซึ่งมันสามารถต่อยอดไปถึงการใช้ชีวิตของเราได้เลย ฉะนั้นการช่วยของเราในโครงการนี้ มันสามารถช่วยได้ทั้งเด็กๆ ช่วยให้เขาสนุกกับโลกใบนี้ที่มันชัดเจนมากยิ่งขึ้น และก็สามารถช่วยเบาแรงคุณหมอในการผ่าตัดเคสต่างๆ ได้ด้วย
การที่เราได้มาช่วยโครงการจิตอาสาแบบนี้ มันทำให้เราเปลี่ยนมุมมองการมองโลกไหม ?
มุมมองก็คงจะเหมือนเดิมนะครับ แค่เราอาจจะโตขึ้นมากกว่า เพราะเราได้รู้แล้วว่าการช่วยเหลือมันเป็นยังไง และมันมีวิธีไหนบ้างที่เราสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ ผมต้องขอบอกเลยว่าในประเทศไทยยังมีอีกหลายกลุ่มเลยครับที่เขารอคอยการช่วยเหลือ ดังนั้นสิ่งที่สำคัญในเวลานี้ก็คือทุกคนไม่ควรที่จะลืมกระจายความช่วยเหลือออกไป ทำให้ความช่วยเหลือนั้นๆ มันทั่วถึงส่งไปถึงคนไทยทั้งประเทศ และท้ายที่สุดตัวเราเองนี่แหละครับที่จะได้ เพราะเราจะได้สังคมที่ดีขึ้น สังคมมีคนดีๆ อยู่ร่วมกันและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในสังคมต่อไป
ความสุขในการที่เราได้ร้องเพลงให้คนอื่นฟังกับความสุขที่เราได้ลงมาทำกิจกรรมจิตอาสา มันแตกต่างกันมากไหม ?
มันต่างในแง่ของความรู้สึกครับ เพราะตั้งแต่ผมเป็นนักร้องมา ผมก็ได้รับแต่ฟีดแบคที่ดีๆ จากแฟนๆ มาตลอด มันเหมือนผมเป็นผู้รับมากกว่าผู้ให้ด้วยซ้ำ เพราะเมื่อคนดูสนุกตัวผมเองก็รู้สึกสนุกตามไปด้วย แต่พอผมได้มาทำกิจกรรมจิตอาสา มันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของความสนุกแล้ว เพราะผมสามารถช่วยเด็กคนหนึ่งให้มีชีวิตที่ดีขึ้นได้ หลายๆ อย่างมันมากกว่ามากๆ มากกว่าทั้งสิ่งที่คิด สิ่งที่เห็น และก็สิ่งที่รู้สึก มันเหมือนผมได้เติมเต็มตัวเอง
นอกจากโปรเจคต์ที่ทำอยู่ตอนนี้เรายังมีโปรเจคต์อื่นๆ ที่สนใจอยากจะทำอีกไหม ?
ถ้าเป็นโปรเจคต์ที่คิดเองตอนนี้ก็ยังไม่ได้คิดเลยครับ แต่อย่างที่บอกถ้าหากมีโครงการไหนอื่นๆ ติดต่อมาอยากให้ผมไปช่วยเหลือผมก็ยินดี หากผมสามารถช่วยได้ผมไปแน่นอน เพราะผมคิดเสมอว่าในเมื่อเราได้มีโอกาสเป็นศิลปินเป็นคนที่คนอื่นมองเห็น ผมก็อยากจะใช้โอกาสนี้เผยแพร่โครงการดีๆ ออกไป ให้ความช่วยเหลือได้ถูกส่งต่อ แม้ว่าในอนาคตผมอาจจะไม่ได้เป็นศิลปินแล้ว แต่สิ่งที่เราให้วันนี้มันอาจจะอยู่ตลอดไปก็ได้
เห็นว่าเราเองก็เคยเป็นผู้รับมาก่อน อยากให้เล่าประสบการณ์ในวันนั้นให้ฟัง ?
ก็คือว่าสมัยเด็กๆ ผมเป็นเด็กที่เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง และทำให้ถูกคุณครูด่าว่า 'โง่', 'โง่หรือเปล่า' แต่ด้วยความที่ตอนนั้นผมไม่รู้ว่าผมมองไม่เห็นเพราะสายตาผมสั้น ผมก็เลยไม่เข้าใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และคิดว่าคงเป็นเพราะตัวผมเองจริงๆ แต่เมื่อทางโรงเรียนมีโครงการตรวจวัดสายตาและตัดแว่นให้ฟรี ผมถึงได้รู้ว่าชีวิตที่เหมือนเกิดใหม่มันเป็นยังไง เพราะก่อนหน้านั้นการใช้ชีวิตของผมมันเป็นอะไรที่ยากมาก คือลำบากมากจริงๆ และแว่นตาจากโครงการนั่นแหละครับที่เข้ามาช่วยเปลี่ยนชีวิตให้ผม ทำให้ผมเจอกับชีวิตที่ดีขึ้น ฉะนั้นในเมื่อวันนี้ผมสามารถช่วยได้ ผมก็อยากจะช่วยครับ
ถ้าหากตอนนี้เราไม่ได้เป็นนักร้องเราคิดว่าเราจะทำอะไรอยู่ ?
โห...ถ้าอ้างอิงจากความเป็นไปได้ก็คงจะรับราชการครับ (ยิ้ม) แต่เอาจริงๆ นะผมไม่รู้เลย ไม่เคยแพลนไว้เลยครับสำหรับเรื่องนี้ แต่ก็คงเป็นอาชีพสุจริตนี่แหละ ส่วนเรื่องความฝันในวัยเด็กที่เคยฝันเอาไว้ก็คืออยากจะเป็นนักกีฬา แต่พอประสบอุบัติเหตุมันก็เลยทำให้ผมไม่สามารถเล่นกีฬาได้ดีเท่าที่ควร (ยิ้ม)
นนท์ในอดีตกับนนท์ในเวลานี้แตกต่างกันมากน้อยแค่ไหน ?
ต่างกันเยอะครับแค่สภาพก็ต่างแล้ว (หัวเราะ) อันนี้หมายถึงสภาพภายนอกนะเพราะสมัยเด็กๆ ผมทั้งเล่นกีฬาทั้งตัวดำ และก็ไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลย ซึ่งจริงๆ ทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้มั่นใจนะ แต่เหมือนผมควบคุมความรู้สึกตัวเองได้มากกว่า ผมคิดเสมอว่าทุกครั้งที่ผมจะต้องโชว์ ผมมีเป็นแฟนๆ ที่รอดูผมอยู่ ผมจึงต้องสลัดความกลัวออกไปให้หมด มันเหมือนผมเติบโตขึ้น ฉะนั้นถ้าถามผมว่าสิ่งที่เปลี่ยนแปลงสำหรับผมคืออะไร ผมคิดว่าคงเป็นการที่ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้น เข้าใจว่าผมกำลังทำอะไร และผมต้องการอะไร รวมถึงเข้าใจด้วยว่าใครต้องการอะไรจากผม ซึ่งสิ่งนี้คือสิ่งที่ผมรู้สึกแตกต่างมากกว่าการเปลี่ยนแปลงของภาพลักษณ์ภายนอกเสียอีก
หากย้อนเวลากลับไปบอกตัวเราเองในอดีตได้ เราอยากจะบอกอะไร ?
เอ่อ...คงจะไม่นะ ไม่มีอะไรจะบอก ผมรู้สึกว่าถึงแม้ในอดีตผมจะเป็นเด็กที่ไม่ได้สมบูรณ์แบบ เป็นเด็กที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง แต่ท้ายที่สุดอุปสรรคเหล่ามันก็ก่อให้เกิดวัคซีนที่ผมสร้างให้กับตัวเอง ทำให้ผมเข้าใจว่าทุกๆ ปัญหาสามารถแก้ไขได้ แม้กระทั่งในวันที่ผมไปประกวดร้องเพลง 100 เวที และผมก็แพ้ทั้ง 100 เวที เพราะ 100 เวทีนั้นคือวัคซีนเข็มใหญ่ที่สุดในชีวิตผม เพราะคำว่า 'แพ้' มันไม่มีจริง แต่เราจะแพ้ก็ต่อเมื่อเรา 'หยุด' ดังนั้นผมจึงคิดว่าทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตผมคือเรื่องที่ดี ถึงแม้บางเรื่องมันจะเป็นเรื่องที่ทำให้เราน้อยใจเสียใจหรือผิดหวัง แต่มันก็ยังเป็นบทเรียนในชีวิตให้กับเราได้
เป้าหมายที่เราอยากจะพุ่งชนที่สุดในชีวิตคืออะไร ?
ไม่มีนะ อาจจะเพราะด้วยความที่ผมเป็นคนที่เห็นเป้าหมายและผมจะทำมันเลยทันทีด้วยมั้ง มันก็เลยทำให้ผมไม่มีอะไรอยากพุ่งชน ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายในการดูแลพ่อแม่ดูแลครอบครัว ซึ่งทุกวันนี้ผมก็คิดว่าครอบครัวผมอบอุ่นแล้วนะ และผมก็อยากจะรักษามันไว้แบบนี้ตลอดไป ผมถือว่าชีวิตของผมทุกวันนี้สมบูรณ์แล้วครับ ส่วนในอนาคตถ้าหากจะมีเป้าหมายอะไรเข้ามา ก็ปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตไปละกัน
อัลบั้มภาพ 32 ภาพ