เห็นต่างไม่ใช่ความผิด แต่ผิดที่คิดใช้ความรุนแรง
ทุกวันนี้การขับเคลื่อนทางสังคมต่างก็มีผลส่วนหนึ่งมาจากหลักความคิดของคนในสังคมนั้น ๆ และแน่นอนคำว่า “สังคม” ล้วนแล้วแต่มีความคิดทั่วไปที่แตกต่างกัน อาจมีส่วนที่คล้ายแต่ไม่มีใครคิดเหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ จึงเป็นข้อดีของการขับเคลื่อนสังคมไปสู่ทางออกที่ดีได้
อีกทั้ง “ความคิด” คือสิ่งที่บุคคลนั้น ๆ เชื่อ เป็นความคิดที่พิจารณาตามความเข้าใจส่วนบุคคล แต่ด้วยความคิดนั้นจะผิดหรือถูกก็ขึ้นอยู่กับองค์ความรู้ การขัดเกลาทางสังคม การรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากสื่อ เพราะสิ่งนี้จึงทำให้แต่ละคนมีความคิดที่แตกต่างคละเคล้ากันในสังคม เริ่มตั้งแต่สถาบันครอบครัวจวบจนถึงสังคมใหญ่ การถกเถียงกันนับเป็นเรื่องปกติเพราะเป็นหนทางสู่การทำความเข้าใจ
และท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองของประเทศไทย ที่ยาวนานด้วยแกนหลักใจความเรื่องมาจากประเด็นเดียวมากว่าสิบปี แต่การปะทะกันทางความคิดเห็นได้มากยิ่งขึ้นจากเพียงไม่กี่ปีมานี้เพราะการเข้ามามีบทบาทของโซเชียลมีเดียและดูเหมือนจะปะทุรุนแรงแบบไม่จางลงง่าย ๆ
ระดับของการถกเถียงกันในสังคมมีอยู่หลายระดับ เช่น ในระดับเบาคือการพูดที่สื่อความหมายไม่เข้าใจกันผู้ถกเถียงทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจเชิงลึกในบริบทไม่เท่ากัน ระดับต่อมาคือความเห็นต่างที่มาพร้อมอคติเป็นการปิดป้ายให้ฝ่ายตรงข้ามว่าทุกความคิดของอีกฝ่ายนั้นผิดเสมอ ไปจนถึงระดับปิดหูปิดตาบ้าคลั่งในความคิดของตนไม่ยอมเปิดรับข้อมูลจากอีกฝ่ายแม้ความคิดนั้นจะหักล้างหรือถูกต้องกว่าความคิดของตน ซึ่งในสังคมปัจจุบันนี้อยู่ในภาวะแบบหลัง
” มองข้ามความเป็นคนเพียงเพื่อต้องการกำจัดความคิดที่ไม่เหมือนฝ่ายตนเพียงเท่านั้นและดูเหมือนว่าเราก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากอดีตที่ผ่านมา “
และด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นที่มาของความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในกระแสการเมืองไทยในตอนนี้ จากอดีตที่ผ่านมาประเทศไทยผ่านเหตุการณ์ความรุนแรงมาหลายต่อหลายครั้ง ความคิดเห็นที่บ้าคลั่งนำไปสู่การคิดหรือลงมือทำร้ายคนอื่น ๆ ได้อย่างไร้มนุษยธรรม มองข้ามความเป็นคนเพียงเพื่อต้องการกำจัดความคิดที่ไม่เหมือนฝ่ายตนเพียงเท่านั้น และดูเหมือนว่าเราก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรจากอดีตที่ผ่านมาเนื่องจากอคติบังตา
เห็นได้ชัดว่าความรุนแรงของการประจันหน้าเหตุเพราะความเห็นต่างในโลกโซเชียลนั้นแพร่กระจายได้กว้างขวางและรวดเร็ว ไม่ว่าฝ่ายใดก็ตามต่างถืออคติที่มีต่ออีกฝ่ายไว้อย่างมั่นคงและพร้อมที่จะสาดคารมโต้ตอบกันได้ทุกเวลา
ความเห็นต่างที่นำไปสู่ความรุนแรงนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งโดยจะเห็นได้ว่ามีนักกิจกรรมทางการเมืองถูกลอบทำร้ายหลายครั้งติดต่อกัน โดยที่สุดท้ายไม่สามารถตามหาผู้กระทำผิดที่ลงมือได้ แต่สรุปสาเหตุแน่นอนว่าเป็นเพราะการเคลื่อนไหวทางการเมือง
ในอีกกรณีหนึ่งคือมีความรุนแรงในความคิดและภาษา เมื่อการโต้เถียงเริ่มหาจุดจบไม่ลงตัวและเลยเถิดไปจนถึงการด่าทอกันและกัน ไปจนถึงการมีความคิดประทุษร้ายใครคนใดคนหนึ่งขึ้นเป็นผลของความโกลาหลทางคารมของคนในสังคม เช่น กรณีสดร้อนล่าสุดที่เกิดขึ้น เมื่อนักร้องชื่อดังมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นเห็นด้วยกับการคิดทำร้ายนักการเมืองสาวคนหนึ่ง จนเกิดเป็นกระแสพิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงวุฒิภาวะและการแสดงออกทางความคิดที่มุ่งไปสู่ความรุนแรง
ผลคือแม้สุดท้ายนักร้องคนนั้นจะเคยเป็นซุปเปอร์สตาร์มีคนรักทั้งประเทศ แต่เมื่อแสดงความคิดที่เกี่ยวเนื่องกับความรุนแรงสู่สายตาสาธารณชนส่วนใหญ่ จึงถูกตัดสินโดยสังคมออนไลน์เป็นที่เรียบร้อย หลายต่อหลายคนต่างผิดหวังที่เคยติดตาม ซึ่งกรณีนี้ไม่ใช่การเกลียดชังเพราะความเห็นต่างทางการเมือง แต่เป็นเพราะการแสดงความเห็นชอบต่อความคิดที่อาจก่อให้เกิดความรุนแรง
” เพราะไม่มีใครสมควรถูกทำร้ายเพียงเพราะความคิดที่ตรงกันข้าม “
ไม่ใช่ครั้งแรกที่บุคคลผู้มีชื่อเสียงในสังคมจะถูกประณามและลงโทษโดยสังคมออนไลน์ เพราะการแสดงความเห็นในเชิงความรุนแรงหรือการเหยียดหยันผู้อื่น แต่ดูเหมือนว่าทุกบทเรียนที่เกิดขึ้นล้วนไม่ถูกหยิบยกไปทบทวนต่อผลที่เกิดขึ้นโดยยังเกิดเหตุการดราม่าซ้ำ ๆ เดิม ๆ ให้เป็นประเด็นร้อนในสังคม แต่เชื่อว่าสักวันหนึ่งสังคมจะบ่มเพาะความคิดและการยับยั้งชั่งใจในการแสดงออกที่อาจเป็นผลเสียในภายหลัง
การเห็นต่างไม่ใช่เรื่องผิดเพราะ ด้วยความคิดที่ผิดแปลกแตกต่างกันอาจนำมาซึ่งผลลัพธ์หรือทางออกที่ดีได้ แต่ความเห็นต่างที่คิดริเริ่มความรุนแรงควรหมดไปจากสังคม เพราะเป็นที่มาของความวุ่นวายที่ไม่รู้จบ