รวมดาวเยาวชนนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม ที่อายุไม่ใช่อุปสรรคในการขับเคลื่อนโลก
เด็กคืออนาคตของชาติ ดูเหมือนคำนี้จะถูกเจือจางให้เบาบางและแทนที่ใหม่ด้วยคำว่า เด็กคืออนาคตของโลก ไปแล้ว เนื่องจากในปัจจุบันต้องยอมรับอย่างเต็มอกเลยว่า เยาวชนทั่วโลกต่างมีความคิดความอ่านที่เป็นปัจเจกชัดเจนและมองถึงสภาพของสังคมโดยรวมได้กว้างไกลมากขึ้น
บทบาทของเยาวชนอันหลากหลายในสังคมทั่วโลก เป็นเสียงกังวานที่ขับเคลื่อนสังคมทั้งระดับภูมิภาคไปจนระดับโลก เป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนได้ตระหนักถึงปัญหาที่กำลังกลืนความเป็นไปของโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปัญหาสิ่งแวดล้อม ที่สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าอาจสายเกินแก้ ทำได้มากสุดเพียงการเยียวยาเล็กน้อยเท่านั้น แต่กระนั้นแล้วดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะยังไม่รู้ร้อนกับปัญหาดังกล่าว
และอายุก็ไม่ใช่อุปสรรคในการกระทำการใหญ่ เยาวชนมากมายที่เล็งเห็นปัญหาที่จะก่อให้เกิดเรื่องเลวร้ายต่อการเป็นอยู่ของพวกเขาในอนาคต เหตุนี้จึงมีหลายคนไม่นิ่งเฉยขยับออกมาส่งเสียงกราวต่อสู้แม้ตอนแรกจะมีเพียงเขาโดยลำพังก็ตาม
เยาวชนนักเคลื่อนไหวสายสิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อโลกใบนี้มีใครกันบ้าง เราจะแนะนำให้ท่านได้รู้จักกัน
เกรตา ธันเบิร์ก
สาวน้อยวัยเพียง 15 ปี จากประเทศสวีเดน นักรณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมที่สร้างชื่อด้วยการหยุดเรียนและไปนั่งหน้ารัฐสภาในกรุงสต็อกโฮล์ม ประเทศสวีเดน เพื่อประท้วงและเรียกร้องการแก้ปัญหาโลกร้อน จนกลายเป็นแรงบันดาลใจและผู้นำการขับเคลื่อนให้กับเยาวชนคนอื่น ๆ อีกทั่วโลก
เกรตา ธันเบิร์ก ได้ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพในปีนี้
ด้วยความสว่างไสวของความคิดที่เกินวัย เกรตา เป็นที่จับตามองของคนทั่วไปอย่างกว้างขวาง และล่าสุดเธอได้รับเชิญให้กล่าวสุนทรพจน์ที่ทรงพลังในแทร็คเปิดอัลบั้มใหม่ของวงดนตรี ป๊อป/ร็อค ชื่อดังจากเกาะอังกฤษ The 1975 ซึ่งจะเป็นการเปิดอัลบั้มด้วยแท็คแรกโดยเสียงแอมเบียนท์เสมอ แต่สำหรับครั้งนี้มีการเพิ่มเสียงเกรตาที่กล่าวสุนทรพจน์เกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนเข้าไปด้วย โดยมีความยาว 4.57 นาที
ลิเทีย บาเลย์เลวูกา
เด็กสาวอายุ 21 ปี หลังการเผชิญความเลวร้ายของพายุไซโคลนวินสตัน เมื่อปี 2559 โดยตอนนั้นเธออายุเพียง 18 ปี ซึ่งเป็นพายุไซโคลนที่มีความรุนแรงระดับ 5 ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อผู้คนทั้งด้านที่อยู่อาศัยและชีวิต ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ลิเทียตกผลึกถึงสถานการณ์ของสิ่งแวดล้อมในปัจจุบัน ว่าสภาพภูมิอากาศไม่เพียงแต่ส่งผลถึงระดับน้ำในธรรมชาติ แต่ยังหมายถึงสภาพอากาศที่เลวร้ายสุดขั้วที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
เธอได้ก้าวขึ้นมาเป็นนักเคลื่อนไหวตัวแทนของเกาะแปซิฟิก และทำงานอย่างจริงจังและหนักหน่วงในฐานะตัวแทนของคนหลากหลายคน เพียงหวังให้อีกหลายคนได้ยินเสียงเล็ก ๆ ของเธอ ในการประชุมเจรจาสุดยอดว่าด้วยโลกร้อน ที่ประเทศโปแลนด์ เธอเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเผชิญพายุ และเธอยังสอนผู้คนในท้องถิ่นเกี่ยวกับโครงการต่าง ๆ ที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ซึ่งแม้ลิเทียจะมาจากประเทศเล็ก ๆ แต่ความมุ่งมั่นของเธอนั้นยิ่งใหญ่คับทวีป
มารีเนล อูบาลโด
หญิงสาววัย 21 ปี จากประเทศฟิลิปปินส์ โดยในปี 2556 ตัวเธอเองและชาวฟิลิปินส์อีกจำนวนมากได้รับผลกระทบจากพายุไห่เยี่ยน ที่สร้างความเสียหายให้กับที่อยู่อาศัยและครอบครัวของเธอเอง ซึ่งในจุดนี้เองแทนที่เธอจะท้อแท้ต่อโชคชะตา กลับกลายเป้นว่าความรุนแรงของธรรมชาติในครั้งนั้นคือพลังขับเคลื่อนให้เธอกล้าที่จะต่อสู้กับต้นเหตุของปัญหา
เป็นที่รู้กันว่าอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลมีส่วนสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ซึ่งความต้องการของเธอคือการให้เหล่าบริษัทยักษ์ใหญ่ได้รับรู้ถึงปัญหาสภาพอากาศที่ตามมาจากการทำงานเสมอ เธอยืนหยัดเป็นพยานให้กับการสอบสวนครั้งแรกของโลกที่ว่าด้วยความรับผิดชอบของบริษัทที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
เจมี่ มาร์โกลิน
เด็กสาวอายุ 16 ปี จากสหรัฐอเมริกา ผู้นำการเคลื่อนไหวภายใต้ชื่อ Zero Hour ที่เกิดขึ้นเพราะความเพิกเฉยจากรัฐสภาเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของเธอในเรื่องของสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง เพราะเธอถูกมองว่าเป็นเพียงเยาวชน
การเคลื่อนไหวของเธอจึงเกิดขึ้นพร้อมด้วยความร่วมมือจากเพื่อน ๆ ของเธอที่มีอุดมการณ์เดียวกันเพื่อส่งเสียงบอกผู้ใหญ่ว่า หากยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องสภาพอากาศที่กำลังแย่ลง พวกเธอเองคือผู้ที่จะได้รับผลกระทบ ซึ่งนอกจาก Zero Hour แล้ว เจมี่ยังเป็นผู้ยื่นฟ้องรัฐวอชิงตัน ว่าสิทธิตามรัฐธรรมนูญของเยาวชนนั้นไม่ว่าด้วยจะด้าน ชีวิต เสรีภาพ สินทรัพย์ และ การปกป้องที่เท่าเทียมในกฎหมายได้ถูกละเมิดเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งแม้จะถูกยกฟ้องในภายหลังแต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้และหาทางต่อสู้เพื่อสิทธิ์ของเยาวชนต่อไป
จริงอย่างที่พวกเธอคิดกัน ปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมที่สั่งสมในทุกวันนี้ ได้ริเริ่มออกอาการในรูปแบบของภัยธรรมชาติสร้างความเสียหายคืนสู่มนุษย์บ่อยครั้งแล้ว และจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต และเยาวชนเหล่านี้ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในวันข้างหน้าต้องเป็นฝ่ายแบกรับผลที่ทุกคนได้ก่อไว้