"การระรานทางไซเบอร์" มุ่งเป้าไปที่เด็กหญิงมากกว่าเด็กชาย

"การระรานทางไซเบอร์" มุ่งเป้าไปที่เด็กหญิงมากกว่าเด็กชาย

"การระรานทางไซเบอร์" มุ่งเป้าไปที่เด็กหญิงมากกว่าเด็กชาย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กรมการวิจัยและข้อมูล กระทรวงการศึกษาแห่งสหรัฐฯ เปิดเผยผลการสำรวจชิ้นล่าสุดเมื่อเดือนนี้ โดยชี้ให้เห็นการเพิ่มขึ้นของการทำร้ายจิตใจผ่านทางออนไลน์ หรือ Cyberbullying

Rachel Whalen อายุ 19 ปี นักศึกษามหาวิทยาลัยยูทาห์ จำได้ว่าตอนเรียนมัธยมปลาย เคยถูกอดีตเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งล้อเลียนโพสต์ทางออนไลน์ของเธอ โดยขู่ว่าจะเลิกติดตามหรือยกเลิกการเป็นเพื่อนทางสื่อสังคมออนไลน์ และยังโพสต์เรื่องตลกเกี่ยวกับตัวเธอที่รู้กันในกลุ่มเพื่อนสนิทให้คนอื่นได้อ่านทางออนไลน์อีกด้วย

การรังแกทางออนไลน์หรือ cyberbullying สร้างความเครียดทางจิตใจแก่ Whalen อย่างมากจนเคยอยากฆ่าตัวตาย แต่หลังจากเข้ารับคำปรึกษา เธอตัดสินใจใช้เวลาน้อยลงกับสื่อสังคมออนไลน์ เธอบอกว่าสื่อสังคมออนไลน์สร้างแรงกดดันให้แข่งกันเพื่อให้ได้รับความสนใจจากคนอื่น เพื่อให้ได้รับการยอมรับทางสื่อสังคมออนไลน์และเป็นปัญหาในกลุ่มเด็กผู้หญิงมากกว่าเด็กผู้ชาย

Bryan Joffe ผู้อำนวยการด้านการศึกษาและการพัฒนาเยาวชนแห่ง AASA ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาคมผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งชาติ กล่าวว่า ระบบโรงเรียนในสหรัฐฯ หลายแห่งเคยใช้วิธีไม่ดำเนินการใดๆ ต่อพฤติกรรมนักเรียนที่เกิดขึ้นนอกสถานการศึกษา มาขณะนี้กำลังตั้งกฎระเบียบขึ้นเพื่อจัดการกับการรังแกทางออนไลน์ โดยมีการลงโทษถึงขั้นให้พักการเรียนหรือไล่ออก

การเปลี่ยนแปลงนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกฎหมายว่าด้วยการรังแกทางออนไลน์ที่มีการนำไปใช้กว้างขวางมากขึ้น อย่างในรัฐเท็กซัสและแคลิฟอร์เนีย

ผลการสำรวจพบว่า มีนักเรียนร้อยละ 20 หรือ 1 ใน 5 คนถูกรังแก เริ่มตั้งแต่การปล่อยข่าวลือหรือการถูกกีดกันจากกลุ่มหรือการข่มขู่ ตลอดจนการทำร้ายทางร่างกายระหว่างปีการศึกษาประจำปี ค.ศ. 2016 - 17 ซึ่งในช่วงระยะเวลาเพียงสองปี มีการรายงานการรังแกทางออนไลน์เพิ่มขึ้นอย่างมากจากร้อยละ 11.5 ไปเป็นร้อยละ 15.3

และหากแยกย่อยออกเป็นเด็กหญิงและเด็กชาย พบว่าเด็กหญิงในโรงเรียนมัธยมต้นและปลายร้อยละ 21 รายงานว่าถูกรังแกทางออนไลน์หรือทางข้อความทางโทรศัพท์ ระหว่างปีการศึกษาประจำปี ค.ศ. 2016 - 17 เมื่อเทียบกับร้อยละ 7 ของเด็กชาย

ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นจากผลการสำรวจก่อนหน้าระหว่างปีการศึกษา ค.ศ. 2014 - 15 ซึ่งเป็นการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับการรังแกทางออนไลน์เป็นครั้งแรก

การสำรวจนี้ไม่ได้ระบุว่าใครเป็นผู้รังแก แต่เด็กหญิงในการสำรวจชี้ว่า ผู้รังแกเป็นคนที่ถูกมองว่ามีความสามารถในการสร้างอิทธิพลเหนือคนอื่น

Lauren Paul ผู้ก่อตั้งหน่วยงานไม่หวังผลกำไร Kind Campaign บอกว่า ร้อยละ 90 ของเรื่องราวที่เธอได้ยินได้ฟังขณะทำงานในโรงเรียน เป็นเรื่องของเด็กหญิงถูกเด็กหญิงคนอื่นรังแก

หน่วยงานไม่หวังกำไรแห่งนี้ตั้งอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียได้เริ่มต้นโครงการต่อต้านการรังแกเด็กผู้หญิงโดยเด็กผู้หญิงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผ่านการอบรมการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ฟรีในโรงเรียนราว 300 แห่งต่อปี

Paul เล่าถึงการพบปะกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่หมกมุ่นกับการสร้างบัญชีสื่อสังคมออนไลน์ปลอมหลายบัญชี เพราะกลัวถูกกลุ่มเด็กหญิงด้วยกันตัดออกจากกลุ่มหากไม่มีคนกด likes มากพอ หรือมีคนติดตามไม่มากพอในช่วงแต่ละสัปดาห์

แม้ว่า Paul จะจัดอบรมกับเด็กหญิงระดับมัธยมต้นและปลายเป็นหลัก เธอบอกว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีความจำเป็นเพิ่มมากขึ้นในการจัดการรณรงค์แบบนี้ในกลุ่มเด็กที่อายุน้อยกว่า และนักศึกษามหาวิทยาลัย

(เรียบเรียงโดย ทักษิณา ข่ายแก้ว วีโอเอภาคภาษาไทย กรุงวอชิงตัน)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook