“นนท์ ศดานนท์” เมื่อความเงียบน่าหลงใหล และการเดินทางไกลตามแสงที่พบเพิ่งเริ่มต้น

“นนท์ ศดานนท์” เมื่อความเงียบน่าหลงใหล และการเดินทางไกลตามแสงที่พบเพิ่งเริ่มต้น

“นนท์ ศดานนท์” เมื่อความเงียบน่าหลงใหล และการเดินทางไกลตามแสงที่พบเพิ่งเริ่มต้น
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แม้ภาพยนตร์ไทยเรื่อง “ดิว ไปด้วยกันนะ” จะหมดรอบฉายในบ้านเราไปแล้ว แต่ในขณะที่คุณกำลังอ่านบทสัมภาษณ์นี้อยู่ เป็นเวลาเดียวกับที่ภาพยนตร์ไทยมูฟออนยากเรื่องนี้กำลังจ่อคิวฉายในไต้หวัน ก่อนจะเดินทางไปยังกัมพูชาในช่วงปลายเดือน

>> [รีวิว]ดิว..ไปด้วยกันนะ-รีเมคเกาหลีด้วยบาดแผลก้าวข้ามวัยสไตล์มะเดี่ยว

>> ดิวไปด้วยกันนะ - กาลครั้งหนึ่ง ณ ปางน้อย ที่ฉันอยากเดินจากมา

>>ดิวไปด้วยกันนะ รำลึกความหลังกับยุค 90 ช่วงเวลาแห่งความรักและความเจ็บปวด

หากใครเคยชมภาพยนตร์เรื่องนี้ บทบาท “ภพ” (วัยเด็ก) ถูกพูดถึงไม่น้อยไปกว่าบทบาทอื่น นั่นอาจเป็นเพราะภพทำให้คนดูสัมผัสถึงอารมณ์ ความรู้สึก รักอันบริสุทธิ์ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางการไม่ยอมรับของสังคมได้อย่างชัดเจน และ“นนท์-ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์” คือผู้รับบทบาทนั้น

นนท์ เป็นนักแสดงดาวรุ่งคนหนึ่งของปีที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้เขาเคยผ่านการแสดงมาบ้างในงานโฆษณา มิวสิควิดีโอ แต่ “ดิว ไปด้วยกันนะ” เป็นภาพยนตร์ขนาดยาวเรื่องแรกที่ทำให้เขารู้สึกท้าทาย และก้าวข้ามขีดความสามารถของตนเองไปอีกระดับหนึ่ง

กว่าจะรู้ว่าตัวเองชอบการแสดง ใครจะรู้ว่านนท์เคยเป็นเด็กติดเกม ชอบเก็บตัว หลงใหลความเงียบ ตอนอกหักใช้การเดินจากสยามไปถึงหมอชิตหลายวันติดกันเพื่ออยู่กับตัวเอง ขณะที่อีกด้านหนึ่งนนท์บอกว่าตัวเองเป็นคนตลก กวนๆ นึกอยากเต้น ตะโกนเมื่อไร ที่ไหนก็ทำ หรือบางทีคุณอาจเคยเดินบนถนนแล้วเจอเขามาสะกิดไหล่ทักทายทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

ด้วยบุคลิกอันหลากหลาย Sanook Campus จึงอยากทำความรู้จักหนุ่มวัย 19 คนนี้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าเมื่ออ่านบทสัมภาษณ์แล้ว ผู้ใหญ่บางคนอาจรู้สึกเหมือนได้นั่งเครื่องย้อนเวลากลับไปในช่วงวัยใกล้เคียงกับเขา เพราะบางช่วงของการพูดคุยเหมือนเราได้ลองตั้งคำถามกับตัวเองอีกครั้ง

นนท์ค้นพบว่าตัวเองชอบเรื่องการแสดงตั้งแต่เมื่อไร

ตอนนั้นผมเรียนอยู่ม.6 แล้วยังไม่รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร เมื่อก่อนผมเป็นเด็กติดเกม ไม่มีเป้าหมาย จนได้เล่นละครเวทีก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจ และผมเคยไปออกกองถ่ายโฆษณาได้เจอทีมงานหลายๆ คน ผมรู้สึกว่ามันมีอะไรน่าสนใจกว่าที่เราเห็นบนจอ เบื้องหลังการทำงานมันต้องใช้มุมมอง ใช้เวลานานกว่าจะตกตะกอน ใช้ความพิถีพิถัน ดูเป็นมืออาชีพ ผมเลยอยากลองทำหนังที่กำกับเอง ถ่ายเอง พอรู้ว่าตัวเองชอบเรื่องนี้ก็เลยคิดว่าจะจริงจังกับเรื่องนี้ไปเลย เหมือนมันมีแสงเดียวที่เราค้นพบ ก็เลยอยากจะเดินไปให้สุด

จริงๆ แล้วเป็นคนแบบไหน ขอ 3 คำที่บอกความเป็นนนท์ ศดานนท์

เงียบ ตลก เรียบร้อย ผมคิดว่าผมเป็นคนที่วางตัวดีเข้าได้กับทุกสังคมที่ผมไปเจอ ผมสามารถปรับตัวได้ดี กับเพื่อนผมเป็นแบบนึง อยู่กับผู้ใหญ่ผมจะเรียบร้อย ถ้าอยู่กับตัวเอง หรือสังคมที่ไม่คุ้นเคยผมก็จะเงียบๆ

สิ่งที่โพสต์ลงบนสื่อโซเชียลส่วนตัว อะไรคือสาระสำคัญที่นนท์ต้องการบอก

ผมอยากสื่อถึงความคิดเชิงบวก ซึ่งมันมีที่มา เพราะมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมรู้สึกดาวน์มาก จมอยู่กับความคิดติดลบ ทำอะไรก็เศร้าไปหมด พอหลุดจากตรงนั้นมาได้ผมเริ่มคิดได้ว่ามันไม่ดี ถ้าเป็นแบบนี้กันทุกคน โลกคงไม่น่าอยู่ จากนั้นผมเลยอยากส่งต่อความคิดเชิงบวกออกไปมากกว่าไม่ว่าจะเป็นการแชร์ การโพสต์ เขียนแคปชั่นในเชิงปรัชญา และผมก็อยากสื่อสิ่งเหล่านี้ไปถึงงานในอนาคตที่ผมอยากสร้างความรู้สึกดีๆ ให้คนอื่น

เรื่องที่ทำให้นนท์รู้สึกดาวน์มากคือเรื่องอะไร  และเยียวยาตัวเองอย่างไร

จริงๆ ชีวิตผมไม่ค่อยมีเรื่องเศร้าเท่าเรื่องความรัก ครั้งแรกที่รู้สึกดาวน์ตอนนั้นอายุ 16-17 อกหักแล้วมันรู้สึกดาวน์ ตอนนั้นเราทำอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ร้องไห้แล้วก็นอนอยู่บ้าน วิธีเยียวยาตัวเองคือให้เวลากับตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะคิดได้ ผมไม่อยากบังคับตัวเอง เพราะมันก็จะฝืนทั้งที่ยังไม่พร้อม รอจนกว่าตัวเองจะพอใจ ผมเคยเดินจากสยามไปหมอชิตติดกันหลายๆ วัน ตอนนั้นรู้สึกว่าได้อยู่กับตัวเอง จริงๆ ก็ชอบความรู้สึกตอนนั้นอยู่เหมือนกัน

มีคนติดตามเราทางโซเชียลเพิ่มขึ้น โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง

ยอดคนติดตามในอินสตาแกรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่ขึ้นมากคือช่วงข่าวชุดไปรเวทโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน จาก 2 พันกลายเป็น 2 หมื่นในเวลาแค่ 3 ชั่วโมง ตอนเห็นยอดเพิ่มขึ้นผมมือสั่นเลย เพราะปกติไม่ชินกับสิ่งเหล่านี้เท่าไร เกร็งจนต้องปิดโทรศัพท์ไปก่อน ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 วันแล้วค่อยกลับมาเล่นโทรศัพท์ใหม่ แต่ส่วนตัวผมไม่ได้ซีเรียสกับตัวเลขว่ามันจะมากหรือน้อย เพราะมันก็แค่คนติดตามเพิ่มขึ้น เยอะกว่าใครใช่ว่าจะดีหรือเก่งกว่าคนอื่น

>> เปิดมุมมอง "น้องนนท์ เด็กกรุงเทพคริสเตียน" กับชุดไปรเวทส่งผลต่อการเรียนหรือไม่

เห็นเป็นคนเงียบๆ จริงๆ แล้วความแสบของนนท์ ศดานนท์คืออะไร

ผมเป็นคนบ้าๆ บอๆ ทำอะไรตามความรู้สึกตัวเองเป็นหลัก อย่างถ้าเดินไปตรงไหนแล้วอยากเต้นก็เต้น อยากตะโกนก็ทำ ชอบแกล้งเพื่อน หรือแซวแม่ค้า แกล้งสะกิดไหลคนเดินบนฟุตบาธแล้วเดินหนีทั้งๆ ที่ไม่รู้จักเขามาก่อน

เคยบอกว่าตัวเองเป็นคนเซนซิทีฟ เรื่องอะไรที่ทำให้นนท์รู้สึกอ่อนไหวมากที่สุด

คงเป็นเรื่องครอบครัว เพราะผมไม่ใช่ลูกที่ดีขนาดนั้น ผมไม่ค่อยเชื่อฟัง บางครั้งขี้รำคาญ ผมรู้ว่ามันไม่ดี และผมเองก็รู้สึกแย่หลายๆ ครั้งที่เป็นแบบนั้น ผมคิดว่ามันต้องใช้เวลาปรับตัวเองให้รู้สึกคอมฟอร์ทกับที่บ้านมากขึ้น รู้ทั้งรู้ว่าเขาหวังดี แต่ผมอาจยังไม่เห็น เพราะผมยังไม่ได้อยู่ในมุมของเขา

ยอมรับว่าตัวเอง Introvert ชอบเก็บตัว เพราะอะไรจึงมาเป็นนักแสดง

มันเป็นเมจิคอย่างหนึ่งที่ผมคิดว่านักแสดงหลายคนคงเป็นเหมือนกัน ไม่ว่าเราจะเป็นใครมาจากไหนเราก็คือตัวเอง แต่เมื่อเราสวมบทบาทนักแสดง เวลาทำงาน เข้าเซ็ท และแอคชั่นตัวเราไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว แต่เราจะกลายเป็นตัวละครนั้น มันทำให้รู้สึกว่าเราได้ให้ร่างนี้กับเขาไปแล้ว เราอยู่กับเขา เราเป็นเขา มันเลยไม่มีอะไรต้องกลัว เพราะมันไม่ใช่เรา มันเป็นเขา พอคัทก็กลับมาเป็นศดานนท์ได้เหมือนเดิม จริงๆ ผมอยากปรับตัวเองเรื่องการเก็บตัวของผมด้วย เลยทำให้ผมอยากเป็นนักแสดง

บอกเสมอว่าชอบอยู่คนเดียว อะไรคือความน่าหลงใหลของการอยู่คนเดียว

จิม แคร์รี่ย์ เคยบอกไว้ว่า “ความเงียบเหมือนยาเสพติด เมื่อเราได้รู้สึกถึงความเงียบแล้ว เราจะไม่อยากได้ยินเสียงใดๆ อีกเลย” มันคือความสงบ เป็นความรู้สึกที่เรานิ่ง ไม่โกลาหล ไม่เยือกเย็นจนแข็ง แต่เราเป็นน้ำนิ่งๆ ทำให้เรารู้สึกสบายตัว ผมว่าบางทีมันก็ดีเหมือนกัน เพราะได้อยู่กับตัวเอง ได้คิด

ก่อนหน้านี้นนท์มองวงการบันเทิงบ้านเราอย่างไร พอได้เข้ามาจริงจังแล้วเป็นอย่างไรบ้าง

ผมมองว่าวงการบันเทิงบ้านเราไปได้ไกลกว่านี้ อาจเป็นเรื่องงบประมาณ ถ้าเราลงทุนลงแรงกับมันจริงๆ มันก็จะได้ เป็นส่วนหนึ่งที่ผมอยากเรียนฟิล์มเพราะอยากเข้ามาพัฒนาวงการภาพยนตร์ของไทย แต่คุยกับรุ่นพี่หลายคนมันก็ค่อนข้างยาก

พอได้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิงผมก็ได้เรียนรู้เทคนิค ขั้นตอนการทำงานที่เป็นมืออาชีพ ทุกคนมีประสบการณ์ อย่างพี่มะเดี่ยวเขาเก่ง ละเอียด และเขาสามารถควบคุมอารมณ์ตอนทำงานได้ดี อยู่ใกล้ๆ แล้วผมชอบการทำงานของพี่เขามาก

ส่วนตัวคิดว่าคนจะไม่ลืมภาพภพ และต่อไปมักจะมีงานในลักษณะเดิมเข้ามาให้เราแสดงเท่านั้นหรือเปล่า

กลัวนิดนึง แต่มองอีกทีมันคือการแสดงของเรา ถ้ามันไม่ดีกว่าเดิม ภพก็ยังอยู่ ถ้าหลุดจากภพไปได้ ภพก็จะหายไป ผมเองก็อยากหลุดจากบทนักเรียนมัธยม คนเท่ คนคูล เงียบขรึม เก็บอารมณ์ อยากลองอะไรแหวกๆ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นบทบาทไหน

ในอีก 5 ปีเราจะได้เห็นนนท์ ศดานนท์เป็นอย่างไร

ผมบอกไม่ได้เลยว่าจะยังเป็นนักแสดงอยู่หรือเปล่า ถ้าเป็นไปได้พอผมเรียนฟิล์มจบผมจะเรียนต่อโทด้านการแสดงที่จุฬาฯ เพราะมีรุ่นพี่ชื่อพี่ณัฐพงศ์ รัตนเมธานนท์ (น้องชายของจอยซ์ ไทรอัมพ์ส คิงดอม) ที่ผมรู้จักตอนทำละครเวที เขาแนะนำอะไรหลายๆ อย่าง ตอนนี้เขาเรียนอักษรจุฬาฯ ผมอยากเป็นแบบเขา อยากเดินตามรอยเขา เพราะโปรเจกต์ที่ทำน่าสนใจหลายอย่าง ผมเคารพเขาเพราะเขาเก่ง ตลก น่ารัก และผมก็อยากทำละครเวที

นนท์ ศดานนท์ที่ตอนนี้ค้นพบสิ่งที่ตนเองชื่นชอบและยึดเป็นแสงสว่างนำทาง ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นมาเดินตามแสงนั้น…สำหรับเขาการได้ลองก้าวออกมาจากจุดเดิมที่ยืนอยู่ ถือเป็นจุดเริ่มต้น แม้การเดินทางนี้ยังอีกยาวไกล และใช่ว่าสุดท้ายจะเป็นอย่างที่หวัง แต่ก้าวแรก ยังคงจริงและสำคัญเสมอสำหรับเขาและทุกคน

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ

อัลบั้มภาพ 14 ภาพ ของ “นนท์ ศดานนท์” เมื่อความเงียบน่าหลงใหล และการเดินทางไกลตามแสงที่พบเพิ่งเริ่มต้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook