แพทยศาสตร์เรียนอะไร แล้วจบมาสามารถทำงานอะไรได้บ้าง?

แพทยศาสตร์เรียนอะไร แล้วจบมาสามารถทำงานอะไรได้บ้าง?

แพทยศาสตร์เรียนอะไร แล้วจบมาสามารถทำงานอะไรได้บ้าง?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แพทยศาสตร์ เป็นสาขาของวิทยาศาสตร์สุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพและเยียวยารักษาโรคหรืออาการเจ็บป่วย การแพทย์เป็นแขนงอาชีพที่ต้องใช้ทั้งความรู้และทักษะอย่างสูง

การเรียนด้านการแพทย์สามารถแบ่งออกเป็นสาขาวิชา หรือด้านเฉพาะทางได้มากมาย เช่น กุมารเวชศาสตร์, อายุรศาสตร์, ศัลยศาสตร์, ศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ (ศัลยศาสตร์กระดูก), สูติศาสตร์, นรีเวชวิทยา, โสตศอนาสิกวิทยา, นิติเวชศาสตร์, จักษุวิทยา, จิตเวชศาสตร์, รังสีวิทยา, จิตวิทยา, พยาธิวิทยา, เวชศาสตร์ชุมชน, อาชีวเวชศาสตร์, เวชศาสตร์ฟื้นฟู, เวชระเบียน, เวชสถิติ ฯลฯ และในแต่ละสาขายังแบ่งย่อยเป็นสาขาย่อยลงไปอีกตามอวัยวะหรือกลุ่มของโรค เช่น ศัลยศาสตร์หัวใจและทรวงอก, อายุรศาสตร์โรคไต และอีกมากมาย

คณะแพทยศาสตร์ในประเทศไทย

การเรียนการสอนทางแพทยศาสตร์นั้น เกิดขึ้นครั้งแรกที่ โรงเรียนแพทยากร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชานุญาตให้จัดตั้งขึ้น ณ โรงศิริราชพยาบาล ซึ่งก็คือ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน ต่อมา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้จัดตั้งคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ขึ้น เพื่อผลิตแพทย์ให้เพียงพอที่จะช่วยเหลือประชาชน นั่นคือ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้จัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ขึ้นในส่วนภูมิภาคของประเทศคณะแรก ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 3 จากนั้น ได้จัดตั้ง คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งเป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 4 ของประเทศ และเป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ของมหาวิทยาลัยมหิดล จากนั้น ได้จัดตั้ง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น เป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่5 และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่6 ของประเทศ และมีคณะแพทยศาสตร์ อื่นๆอีกรวม 20 แห่ง ทั่วประเทศ

รายชื่อคณะสำนักวิชาและวิทยาลัยแพทยศาสตร์ในประเทศไทย

  • คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • คณะแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข วิทยาลัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
  • คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • คณะแพทยศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง
  • สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี
  • คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
  • คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์
  • คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
  • คณะแพทยศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัยนวมินทราธิราช
  • คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
  • คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพะเยา
  • คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
  • โครงการร่วมผลิตแพทย์เพิ่มเพื่อชาวชนบท ร่วมผลิตกระทรวงสาธารณสุข มหาวิทยาลัยมหิดล (สถาบันสมทบ)
  • วิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า มหาวิทยาลัยมหิดล (สถาบันสมทบ)
  • คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
  • คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
  • สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
  • วิทยาลัยแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
  • สำนักวิชาแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
  • คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
  • คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
  • คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม
  • วิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • โครงการจัดตั้งคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี

คณะแพทยศาสตร์ ใช้คะแนนอะไรบ้าง

รับตรงผ่าน กสพท. เป็นสนามสอบเข้าเรียนต่อคณะแพทยศาสตร์ (และยังรวมถึงทันตแพทย์ สัตวแพทย์ และเภสัชศาสตร์ อีกด้วย) ซึ่งถือได้ว่าเป็นสนามการสอบแพทย์ที่ใหญ่มาก ๆ โดยเปิดกว้างรับผู้สมัครสอบทั่วทุกจังหวัด

GPAX เกรดเฉลี่ยสะสมระดับ มัธยมปลาย

ต้องมีคะแนนสอบ 9 วิชาสามัญ

  • วิทยาศาสตร์ (ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา) : 40%
  • คณิตศาสตร์ 1 : 20%
  • ภาษาอังกฤษ : 20%
  • ภาษาไทย : 10%
  • สังคมศึกษา : 10%

คะแนนสอบวิชาความถนัดแพทย์ : 30 %

ผลคะแนนสอบ O-NET ( วิทย์ คณิต อังกฤษ ไทย สังคม) รวมกันต้องได้ 60 % หรือ 300 คะแนน ทั้งนี้คะแนน O-NET จะขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยว่ามีการกำหนดเกณฑ์เอาไว้อย่างไร

แพทย์ 6 ปี เรียนอะไรบ้าง?

ปี 1 : เรียนปรับพื้นฐาน

ปี 1 จะเป็นปีที่ได้เรียนเหมือนเด็กคณะอื่นๆ วิชาที่จะเรียนในปี 1 นี้ ก็จะเป็นวิชาเรียนคล้าย ๆ กับตอน มัธยมปลาย คือจะเน้นวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ (ที่ใช้ในการแพทย์) เป็นหลัก แต่ว่าจะเรียนลงลึกมากยิ่งขึ้นและยากขึ้นกว่าเดิม

ปี 2 : เริ่มเข้าเนื้อหาแพทย์

ปี 2จะเรียนรู้เกี่ยวกับศาสตร์ทางการแพทย์เพิ่มมากยิ่งขึ้นกว่าปี 1โดยเนื้อหาในปีนี้จะได้เรียนเกี่ยวกับโครงสร้างของร่างกายและระบบการทำงานของร่างกายอย่างละเอียด เช่น ระบบประสาท ระบบเลือด ฯลฯ นอกจากนี้ยังจะต้องเรียนรู้ในวิชาอื่น ๆ อีก เช่น วิชาทางกายวิภาค สรีรวิทยา พันธุศาสตร์ เป็นต้น พร้อมทั้งน้องๆ ยังจะได้พบกับอาจารย์ใหญ่และกล่าวคำปฏิญาณ อีกด้วย

ปี 3 : เรียนถึงร่างกายมนุษย์

ปี 3 จะเรียนรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้ร่างกายของเราเกิดอาการเจ็บป่วยหรือทำให้ร่างกายผิดปกติ ทั้งการเรียนรู้จักกับเชื้อโรคชนิดต่าง ๆ สาเหตุของการเกิดโรค เช่น หลักภูมิคุ้มกันวิทยา, ปรสิตวิทยา, พยาธิทั่วไป, เวชศาสตร์ชุมชนฯ เป็นต้น และนอกจากนี้ยังเรียนเกี่ยวกับยาชนิดต่าง ๆ ที่ใช้ในการรักษาโรค (ระดับพื้นฐาน) อีกด้วย

และที่สำคัญในชั้นปีนี้ ยังจะต้องเจอเรื่องยากอีกหนึ่งเรื่องก็คือ การสอบใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ขั้นที่ 1 ซึ่งจะทำการสอบตอนจบปี 3 เป็นการสอบความรู้ที่ได้เรียนมาตลอดทั้ง 3 ปี โดยข้อสอบจะเป็นแบบตัวเลือกทั้งหมด แบ่งการสอบออกเป็นรอบเช้า 150 คะแนน และรอบบ่าย 150 คะแนน รวมเป็น 300 คะแนน ถ้าสอบไม่ผ่านในรอบแรก สามารถสอบซ่อมได้อีกหนึ่งรอบ

ปี 4 : ได้ดูแลคนไข้

การเรียนในปีนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรียนในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่จะเรียนรู้บนหอผู้ป่วย (วอร์ด) ซึ่งจะเป็นการเรียนรู้จากผู้ป่วยโดยตรงเลย โดยจะเป็นการแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ เพื่อไปดูแลผู้ป่วยตามวอร์ดตลอดทั้งปี ในแต่ละวอร์ดจะมีเนื้อการเรียนรู้ที่แตกต่างกันออกไป เช่น วอร์ดสูติ-นรีเวช ก็จะเน้นไปที่โรคของผู้หญิง, วอร์ดเด็กก็จะเน้นไปที่โรคที่เกิดขึ้นกับเด็ก เป็นต้น

นอกจากจะมีการเปลี่ยนวอร์ดตลอดทั้งปีแล้ว ยังต้องเข้าเวรอีกด้วย โดยจะมีการมอบหมายให้มีการอยู่เวรนอกเวลาราชการ วันเสาร์-อาทิตย์ หรือในเทศกาลหยุดยาว ทำให้เวลาว่าที่ เคยมีก็จะหายไป มีเวลาส่วนตัวน้อยลงควรที่จะต้องหาวิธีในการปรับตัวให้ดีเลย ไม่งั้นอาจจะเราเรียนไม่ไหวได้นะ

ปี 5 : เรียนหนักขึ้น

สำหรับรูปแบบการเรียนในชั้นปีที่ 5 จะเหมือนกับปี 4 คือแบ่งออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ และวนไปตามวอร์ดต่าง ๆ ตลอดทั้งปี แต่ก็จะมีความแตกต่างกันตรงที่วอร์ดที่วนกันนั้น จะเป็นวอร์ดที่ยังไม่เคยเจอในตอนปี 4 เช่น แผนกจิตเวช, แผนกนิติเวช เป็นต้น (การวอร์ดในแต่ละสถาบันการศึกษาอาจจะมีความแตกต่างกันออกไป ตามที่สถาบันได้จัดเอาไว้)

แต่สิ่งที่สำคัญในชั้นปีนี้ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะจะต้องเตรียมตัวสอบใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ขั้นที่ 2 ด้วย ซึ่งจะทำการสอบตอนเรียนจบชั้นปี 5 เป็นการสอบความรู้ในชั้นปีที่ 4 และ 5 ที่ได้เรียนมา ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ แบ่งการสอบออกเป็นรอบเช้าและรอบบ่าย รวม 300 คะแนน (ข้อสอบเป็นตัวเลือกแบบขั้นที่ 1)

ปี 6 : เริ่มทำงานจริง

ปีสุดท้ายแล้วสำหรับการเรียนแพทย์ จะได้ทำงานจริงเหมือนแพทย์ตามโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคนไข้ ทำการรักษาโรค เย็บแผลเอง ทำคลอดเอง ทำการผ่าตัดเล็กเอง (โดยจะมีอาจารย์เป็นผู้ควบคุมดูแลอีกทีอย่างห่างๆ) เรียกได้ว่าเป็นปีสุดท้ายที่โหดมากเลยทีเดียว เพราะเมื่อเราขึ้นวอร์ดไปแล้วเราจะต้องทำทุกอย่างเหมือนแพทย์ที่จบไปแล้ว ใช้ความรู้ที่ได้เรียนทั้งหมด และในปีนี้เราสามารถออกไปฝึกที่โรงพยาบาลต่างจังหวัดได้ด้วย

ที่สำคัญเรายังจะต้องสอบใบประกอบวิชาชีพทางการแพทย์ขั้นที่ 3 (ขั้นสุดท้าย) ซึ่งจะทำการสอบตอนจบปี 6 ส่วนของข้อสอบนั้นจะไม่ได้เป็นแบบตัวเลือกเหมือนกับ 2 รอบที่ผ่านมา แต่จะเป็นการสอบแบบออสกี้ (OSCE) ซึ่งเป็นการสอบปฏิบัติแบบมีเสียงกริ๊งกำหนดเวลา มีทั้งหมด 30 ฐาน (มีฐานให้เราได้พักเหมือนกัน)

แนวทางการประกอบอาชีพ

สามารถประกอบอาชีพทุกอย่างที่เกี่ยวกับคำว่า “หมอ” ทั้งหมอทั่วไป กุมารแพทย์ ศัลยแพทย์ อายุรแพทย์ จิตแพทย์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook