6 คำทักทาย “ต้องห้าม” ทำเสียบรรยากาศ

6 คำทักทาย “ต้องห้าม” ทำเสียบรรยากาศ

6 คำทักทาย “ต้องห้าม” ทำเสียบรรยากาศ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เคยบ้างไหม? เวลาไม่ได้เจอใครมานาน ๆ คำทักทายจากเพื่อนฝูง คนรู้จัก หรือญาติ มักจะทำให้เราทำหน้าไม่ถูกอยู่เหมือนกัน และไม่มีอารมณ์จะพูดคุยด้วย เพราะบางคำถามก็ไม่ได้คิดถึงจิตใจคนฟังว่าจะรู้สึกเช่นไร และบางทีก็เป็นเรื่องส่วนตัวเกินกว่าจะต้องมาป่าวประกาศให้ใคร ๆ รู้

ถ้าไม่อยากเสียเพื่อน หรือทำให้การพูดคุยกับใครต้องเสียบรรยากาศ นี่คือ 6 คำทักทายต้องห้ามที่ไม่ควรเอื้อนเอ่ยออกไปเด็ดขาด!

อ้วนขึ้นหรือเปล่า?

อยากให้ทุกคนท่องให้ขึ้นใจว่า “อ้วนขึ้นหรือเปล่า?” ไม่ใช่คำทักทาย แต่มันเป็นประโยคที่ทำร้ายจิตใจ และก่อให้เกิดเรื่องบาดหมางใจกันมานักต่อนักแล้ว ที่สำคัญ คุณไม่อาจรู้ได้เลยว่า เพื่อนหรือญาติที่คุณไม่เจอมานานนั้น เขาเพิ่งลดน้ำหนักลงมาได้ถึง 3-4 กิโลกรัม จากความพยายามออกกำลังกายตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาหรือไม่ หรือเขาดูตัวบวมขึ้น เนื่องจากแพ้ยาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์หรือไม่ ขณะที่บางคนมีรูปร่างอ้วน อาจมาเพราะป่วยเป็นโรคไทรอยด์ชนิดอ้วนก็ได้

มีแฟนหรือยัง?

พอได้ยินประโยคนี้ เชื่อว่าบรรดาหนุ่มโสด สาวโสด คงได้แต่ยืนส่งยิ้มแห้ง ๆ ตามมารยาท ขณะที่ภายในใจนั้นอยากจะเบะปาก มองบนใส่รัว ๆ กับคนถามเสียเหลือเกิน เพราะเป็นคำถามที่ดูไร้สาระ แถมไม่ให้ประโยชน์กับใครเลย สำหรับบางคนที่ตัดสินใจอยู่เป็นโสด เขาอาจไม่อยากปวดหัว และคิดว่าการอยู่คนเดียวก็สบาย และไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อนสักหน่อย

ส่วนบางคนก็อาจเพิ่งเลิกรากับแฟนมาหมาด ๆ ยังรู้สึกเคว้งคว้าง มืดมนไปหมด พอได้ยินคนทักแบบนี้ ก็อาจบ่อน้ำตาแตกกันได้ง่าย ๆ หรือบางคนก็อยากมีแฟน แต่ยังหาคนที่ทั้งถูกใจเรา และเราถูกใจเขาไม่ได้

เมื่อไหร่จะแต่งงาน?

คำถาม “เรื่องแต่งงาน” เป็นอีกหนึ่งประโยคที่สร้างความกระอักกระอ่วนใจ และรู้สึกกดดันได้ไม่น้อยทีเดียว ด้วยเป็นคำถามที่เข้าข่ายก้าวล้ำความเป็นส่วนตัว อีกทั้งยังเป็นประโยคคำถามที่ดูแล้ว ตอบคำถามแบบไหน ก็ดูจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับใครเลย (โดยเฉพาะคนถูกถาม) แถมการถามย้ำเรื่องการแต่งงาน อาจกลายเป็นการสร้างความกดดันให้กับเขาและแฟนก็ได้ เนื่องจากอีกฝ่ายหนึ่งอยากแต่ง แต่อีกฝ่ายยังไม่พร้อม ขณะเดียวกันในบางคู่ที่คบหากัน ก็ไม่ได้หมายความว่า จะลงเอยด้วยการแต่งงาน เพราะการแต่งงานไม่ใช่คำตอบที่ใช่ สำหรับ “ทุกความสัมพันธ์” ฉะนั้น คำถามนี้จึงไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่คุณต้องไปคอยนั่งถามใคร

มีเงินเก็บเท่าใด จะซื้อบ้าน ซื้อรถเมื่อไร?

คำถามโลกแตกที่ฟังแล้วก็ได้แต่สงสัยในใจว่า ยอดเงินเก็บในบัญชี หรือการซื้อทรัพย์สินอย่างบ้าน และรถยนต์ของเราเนี่ย หากไม่มีแล้วไปกระทบกับชีวิตใครหรือไม่ ? แต่สำหรับคำถามนี้ ต้องยอมรับก่อนว่า สภาพสังคมในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ต่างคุ้นชินกับภาพหนุ่มสาวที่ทำงานมาได้ประมาณ 1-3 ปี และทยอยซื้อบ้าน หรือรถยนต์เป็นของตนเอง จนทำให้เกิดค่านิยมว่า เมื่อคุณทำงานได้ซักพักก็ควรมีบ้าน หรือรถยนต์

แต่ที่จริงแล้ว หนุ่มสาวบางคนที่ยังไม่มีทรัพย์สินที่ว่า ไม่ใช่ว่าไม่มีเงิน เพียงแต่บางคนยังอยากใช้ชีวิตอย่างอิสระ โดยไม่มีหนี้ก้อนใหญ่ระยะยาวนั่นเอง ฉะนั้น ไม่ว่าเขาจะนำเงินที่ได้จากการทำงานไปใช้ในรูปแบบใด ก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลของเขาอยู่ดี

ได้เงินเดือนเท่าใด?

การถามเรื่อง “รายได้ส่วนตัว” ไม่ว่าจะเป็นคนที่เพิ่งรู้จัก หรือเป็นเพื่อนสนิท หรือลูกหลาน ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรถามเด็ดขาด เพราะเรื่องเงิน เรื่องทอง ไม่ใช่เรื่องที่เขาจำเป็นต้องมาเปิดเผยกับคุณ แม้ว่า คุณจะเล่าเรื่องรายได้ให้เขาฟัง ก็ไม่ได้หมายความว่า เมื่อคุณถามเรื่องรายได้ของเขา แล้วเขาต้องตอบคำถามคุณเช่นกัน

ไปทำอะไรมา ช่วงนี้ดูผิวคล้ำขึ้นเยอะเลย

สำหรับหนุ่ม ๆ หรือสาว ๆ ที่มีสีผิวเป็นสีแทน สีน้ำผึ้ง หรือผิวสองสี เวลาไปโดดแดดก็มีผลให้สีผิวของคุณดูเข้มขึ้นง่ายกว่าคนที่ผิวขาว จึงไม่แปลกที่จะถูกทักด้วยประโยคนี้บ่อย ๆ จนรู้สึกเบื่อและพาให้เสียความมั่นใจ ประกอบกับเมืองไทยเป็นเมืองร้อน แดดแรง การที่เขาจะมีผิวสีเข้ม ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ อย่าไปยึดติดกับค่านิยมผิวขาวที่ถูกฝังหัวกันมาตั้งแต่เกิดเลย

และอยากให้รู้ว่า คำทักทายที่เกี่ยวข้องกับรูปร่าง หน้าตา หรือสีผิว ล้วนเป็นประโยคที่ค่อนข้างเสียมารยาทมาก คุณไม่ควรใช้ทักทายใคร ไม่ว่าจะสนิท หรือไม่สนิทกับเขาหรือไม่ก็ตาม

แต่ทั้งนี้ ทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะต้องเจอคำทักแบบไหน ขอให้สตรองเข้าไว้ มั่นใจในตัวเองให้มาก และพยายามมองโลกในแง่ดี สุดท้าย แล้วคุณจะผ่านมันไปได้ไม่ว่าเจอคำถามชวนหงุดหงิดแค่ไหนก็ตาม

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook