เหตุใด โลกโซเชียลมีเดียทุกวันนี้จึงเป็น “สังคมอุดมดราม่า”
ทุกวันนี้ ไม่ว่าเราจะใช้โซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มไหนก็ตาม อาจเป็นเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม หรืออื่น ๆ เรามักจะเจอดราม่าอยู่เสมอ เรียกได้ว่าดราม่าไม่เว้นวันเลยก็ได้ ทำให้นับวันการใช้ชีวิตในโซเชียลมีเดียก็ดูจะไม่ค่อยจะสนุกเหมือนแต่ก่อน มองไปทางไหนก็เจอแต่เรื่องชวนหัวร้อนน่าโมโห ดราม่ากันได้ทุกเรื่องบนโลกใบนี้ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว เรื่องดราม่าพวกนี้มันเกิดขึ้นจาก “ตัวเราเอง” เป็นหลัก และนี่คือสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้โลกโซเชียลมีเดียทุกวันนี้อุดมไปด้วยเรื่องดราม่า
แสดงความคิดเห็นอิสระจนเกินไป
หลายคนมองว่าโซเชียลมีเดียเป็น “พื้นที่ส่วนตัว” ฉันจะทำอะไรก็ได้ มันของฉันนี่นา ทั้งที่ความจริงแล้ว ไม่ว่าอะไรก็ตามที่อยู่บน “ออนไลน์” เราจะพูดได้เต็มปากเต็มคำเหรอว่ามัน “ส่วนตัว” เพราะใครก็เข้ามาเห็น ใครก็เข้าถึงได้ (ถ้าส่วนตัวจริง ๆ คือ รู้อยู่คนเดียว เขียนลงสมุดแล้วใส่ตู้ล็อกกุญแจต่างหาก) ฉะนั้น อย่าอ้างว่านี่คือสิทธิเสรีภาพบนพื้นที่ของฉัน ฉันจะโพสต์จะพิมพ์อะไรก็ได้ ทั้งที่มันอาจกระทบคนอื่น แบบนี้ไม่น่ารักเลย
แสดงความคิดเห็นในฐานะแอคผี ไม่มีใครรู้นี่ว่าฉันเป็นใคร
เพราะการสมัครแอคเคาท์ในโซเชียลมีเดีย เราไม่จำเป็นต้องกรอกข้อมูลจริง ทำให้ใครก็ตามสามารถมีบัญชีใช้งานได้จะตั้งเป็นชื่อจริง ชื่อแฝง ชื่อดารา แม้แต่ชื่อเพื่อนก็ยังใช้ได้ ส่วนรูปก็ใช้รูปหมาแมว รูปการ์ตูน รูปดาราได้หมด พอมีเรื่องอะไรดัง ๆ ก็แค่แสดงความคิดเห็นแบบแรง ๆ เพื่อสถาปนาตัวเองเป็นเซเลบได้โดยที่ไม่มีใครรู้หน้าตาจริง เมื่อไม่มีใครรู้ก็แรงได้เต็มที่ไม่ต้องกลัวอะไร ถ้าโดนด่าก็แค่ปิดแอคเคาท์หนีแล้วเปิดใหม่ ก็คัมแบ็กได้อย่างงดงาม
ตรรกะ “เป็นคนสาธารณะก็ต้องยอมรับคำวิจารณ์ได้”
คนดังทั้งหลายคงเจอกับตรรกะ “คุณเป็นคนสาธารณะ คุณก็ต้องยอมรับคำวิจารณ์ได้สิ” กันทุกคน ถ้า “ติเพื่อก่อ” ก็นับว่าเป็นประโยชน์ แต่คนสมัยนี้แยกไม่ออกระหว่างคำวิจารณ์กับคำด่า ฉะนั้น จะโพสต์ จะคอมเมนต์อะไรก็ขอให้คิดสักนิดว่า “เขาก็เป็นคนคนหนึ่ง” ถ้ามันเป็นเรื่องของเขา เราไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย ก็ไม่ต้องอยากมีส่วนร่วมกับเขาทุกเรื่องก็ได้ เกิดเขาฟ้องขึ้นมาจะไม่คุ้ม หากอยากด่า ด่าในใจ อยากซุบซิบ ก็นินทาในแก๊งเพื่อนก็น่าจะพอแล้ว
โนสนโนแคร์ ใครแย้งมาคือด่าหมด
สังเกตไหมว่าโลกโซเชียลตอนนี้ หากมีใครแย้งอะไรมา เจ้าของโพสต์หลายคนมักไม่ปล่อยผ่าน ต้องตอบโต้นิด ๆ หน่อย ๆ แต่ดันเป็นการตอบโต้ที่ไม่มีใครยอมใคร ด่ากันไปมาหาสาระไม่ได้ ใช้ตรรกะวิบัติ หรือไม่ก็ใช้ถ้อยคำแสดงความเกลียดชัง ใครคิดต่างต้องไล่ลบ ไล่ด่า ไล่บล็อก ไม่เปิดใจฟังกันแบบผู้มีอารยะ แบบปัญญาชน สังคมแบบนี้ยิ่งเจอก็ยิ่งเครียด กลายเป็นว่าคนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็นดี ๆ ก็โดนถล่มกลับ คนอ่านไม่ได้ความรู้อะไรเลย
เบาได้แต่ไม่เบา เถียงชนะแล้วได้โล่ (?)
โซเชียลมีเดียทุกวันนี้ ไม่มีใคร “ลดราวาศอก” แน่นอนว่าการที่คนที่คิดไม่เหมือนกันมาเจอกัน ต่างคนต่างก็ใช้เหตุผลข้าง ๆ คู ๆ ของตัวเองมายืนยันว่าสิ่งที่ฉันคิดถูก ก็เลยไม่มีใครยอมใคร เถียงกันตาต่อตาฟันต่อฟันจนกว่าจะได้ผู้ชนะ คนที่เลิกเถียงก่อนกลายเป็นคนแพ้ ทั้งที่ความจริงเข้าเอือมระอา อีกฝ่ายก็ได้ใจ เห็นเขาไม่เถียงต่อก็คิดว่าตัวเองชนะ แล้วก็พราวไปทำกับคนอื่นอีก และหลายครั้งเราก็จะเห็นคำหยาบคายตามมา หรือใช้วาจารุนแรงด้วย
คอยจับผิดกันอยู่ตลอดเวลา
ชีวิตที่ไม่มีความสุข คือชีวิตที่คอยแต่จับผิดชีวิตคนอื่น ทั้งที่ทุกคนมีผิดมีพลาดได้เป็นเรื่องธรรมดา ดารา นักแสดง คนมีชื่อเสียงเขาก็เป็นคนธรรมดาเหมือนกัน ปล่อยให้เขาใช้ชีวิตของเขา ไม่ต้องคอยจับผิดกันตลอดเวลาก็ได้ หรือแม้แต่โพสต์บางโพสต์ที่เขาเข้าใจคลาดเคลื่อน เห็นก็เตือนกันดี ๆ หรือให้ข้อมูลเพิ่มเติม อย่าหักหน้า ดูถูก เหยียดหยามใครต่อหน้าธารกำนัลในโซเชียล ไม่ก็หลังไมค์ไปบอกดี ๆ ใจเขาใจเราให้มาก ๆ เขาจะสูญเสียความมั่นใจเอาได้
เสพติด “ข้อมูลเชิงลบ” อยู่เป็นนิจ
เราใช้โซเชียลมีเดียกันทุกวันและทั้งวัน ทำให้เรามีพฤติกรรมหมกมุ่นอยู่กับชีวิตส่วนตัวของคนอื่น และเหมือนดูละครชีวิตคนอื่นอยู่ตลอด อย่างไรก็ดี ธรรมชาติของมนุษย์ ไม่ค่อยมีใครอยากรู้เรื่องดี ๆ แต่ถ้าเรื่องฉาว เรื่องที่ทะเลาะกัน หรือเรื่องกระตุ้นต่อมสอดรู้สอดเห็นนี่ถึงไหนถึงกัน เพราะต่างก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พอเริ่มมีคนตามเยอะเข้าก็เริ่มคุมไม่อยู่ มีทั้งคนพอใจและไม่พอใจ คนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยจากนั้นก็เข้าไปทะเลาะกันในนั้น ดังข้อต้น ๆ ที่ผ่านมา