Work & Travel ทำงานแลกประสบการณ์ หรือแค่แรงงานราคาถูก?
ดูเหมือนว่าการใช้ชีวิตในต่างแดนซึ่งไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง โดยมีเป้าหมายในการทำงานรับจ้างต่าง ๆ นั้น จะมีคำเรียกได้หลากหลายขึ้นอยู่กับการให้คำนิยามที่แตกต่างกันไป
“ผีน้อย”
เป็นคำนิยามที่ใช้เรียกคนไทยที่ลักลอบเข้าไปทำงานในประเทศเกาหลีใต้อย่างผิดกฎหมาย เพื่อเข้าไปใช้แรงงานแลกค่าจ้าง โดยลักลอบอยู่ในประเทศแบบผิดกฎหมาย ไม่สามารถทำธุรกรรมใด ๆ ในประเทศได้ เนื่องจากไม่มีตัวตนอยู่จริงในประเทศ
“แรงงานต่างด้าว”
เป็นคำนิยามที่ใช้เรียกบุคคลที่ไม่มีสัญชาติไทย แต่เข้ามาทำงานหาเงินในประเทศไทย และได้ค่าตอบแทนเป็นค่าจ้าง หรือประโยชน์อื่นใด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเมียนมา โดยมีทั้งที่เข้ามาอย่างถูกกฎหมาย และลักลอบเข้าประเทศมาโดยผิดกฎหมาย
“Work & Travel”
เป็นคำนิยามที่ใช้เรียกคนไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศ ส่วนใหญ่มักเป็นสหรัฐอเมริกา โดยมีเอเจนซี่ช่วยเป็นธุระในการจัดหางานให้ระหว่างที่กำลังศึกษาหรือเรียนอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ซึ่งอาจเป็นช่วงที่ปิดเทอมอยู่หรือจบการศึกษาแล้ว เพื่อหาประสบการณ์และหารายได้ในต่างประเทศ พร้อมทั้งได้เดินทางท่องเที่ยวไปด้วย
จากลำดับคำนิยามต่าง ๆ เหล่านี้ คำว่า “Work & Travel” ดูจะมีภาษีดีกว่าการเป็นผีน้อยและแรงงานต่างด้าวอยู่พอสมควร ซึ่งจากการถกเถียงกันในโลกออนไลน์นั้น บางส่วนมองว่าคนที่ไปทำงานแบบ Work & Travel คือคนชนชั้นกลาง ต่างจากผีน้อยกับแรงงานต่างด้าวที่เป็นชนชั้นแรงงาน แม้ว่าอันที่จริงแล้ว หากเทียบกันที่เนื้องาน ต่างก็ใช้ “แรงงาน” ไม่ต่างกัน และเมื่อวีซ่าหมดก็ต้องกลับบ้านเกิดเหมือนกันอยู่ดี
Work & Travel ไม่ได้สบายอย่างที่คิด!
หลายคนมักวาดฝันสวยหรูว่าการทำงานแบบ Work & Travel จะได้ท่องเที่ยวด้วยนอกเหนือจากการไปทำงาน โดยมีโอกาสได้ทำงานหลากหลาย และยังได้ฝึกภาษา รวมถึงได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับเจ้าของภาษาด้วย
แต่จากความเป็นจริงที่หลายคนมาตีแผ่ในโลกออนไลน์ ทำให้ได้เห็นว่าสิ่งที่คิดกับสิ่งที่เป็นจริงออกจะตรงกันข้ามอยู่พอสมควร เมื่อต้องทำงานหนักเพื่อแลกเงินค่าจ้าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานใช้แรงงานที่หลายคนไม่เคยได้หยิบจับหรือทำอย่างจริงจังเสียด้วยซ้ำตอนอยู่ที่เมืองไทย
ขณะที่วีซ่าจะได้รับประเภท J-1 ซึ่งเป็นวีซ่าสำหรับผู้ที่ได้รับทุนสนับสนุนจากองค์กรใดองค์กรหนึ่ง เมื่อครบกำหนดเวลาที่ระบุไว้จะต้องเดินทางกลับประเทศบ้านเกิด โดยมีระยะเวลาให้ทำงานได้สูงสุดเพียง 4 เดือนเท่านั้น และสามารถอยู่เที่ยวต่อได้อีก 1 เดือน รวมเป็น 5 เดือน ไม่สามารถอยู่นานกว่านั้นได้
เลือกเอเจนซี่ผิดชีวิตเปลี่ยน
การทำงาน Work & Travel ใช่ว่าจะไปกันได้ง่าย ๆ เพราะต้องติดต่อผ่านเอเจนซี่ซึ่งเป็นตัวแทนจัดหางานเท่านั้น โดยในประเทศไทยมีให้บริการอยู่หลายบริษัท ซึ่งหากใครโชคร้ายถูกเอเจนซี่ที่ดูแลอยู่ทอดทิ้งหรือโดนเทในช่วงเวลาที่เดินทางไปต่างประเทศแล้ว ก็ไม่ต่างอะไรกับการตกนรกทั้งเป็น เหมือนที่เคยมีข่าวคราวให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง
ดังนั้น หากใครมีความประสงค์อยากจะไปทำงาน Work & Travel จริง ๆ ก็จำเป็นต้องศึกษาหาข้อมูลให้ละเอียดว่าบริษัทเอเจนซี่ที่เลือกใช้บริการนั้นมีประวัติเป็นอย่างไร จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่
ค่าใช้จ่ายหลักแสนแลกประสบการณ์ต่างแดน
จากข้อมูลล่าสุดของบริษัทเอเจนซี่ American Learning ในประเทศไทย ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2546 ได้ระบุค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมโครงการเวิร์คแอนด์ทราเวล ปี 2021ไว้ดังนี้
- ค่าสมัครเข้าร่วมโครงการ 7,000 บาท
- ค่า Covid-Care Package 2,999 บาท
- ค่าโครงการช่วง Spring / Summer 78,000 บาท (แบ่งชำระ 3 งวด)
- ค่าวีซ่า Package 8,500 บาท
- ค่าใช้จ่ายในการเลือกงาน (Mini Premium 4,000 บาท / Premium 8,000 บาท)
- ค่าตั๋วเครื่องบิน (รัฐที่เลือกไปทำงาน ส่งผลต่อราคาตั๋วที่ต้องจ่าย)
- ค่ามัดจำตั๋วเครื่องบิน 3,000 บาท (บริษัทฯ มีบริการจัดหาเครื่องบินให้)ค่า Pocket Money ประมาณ 1,000- 1,500 เหรียญสหรัฐ (30,000-45,000 บาท)
สำหรับค่าใช้จ่าย เช่น ค่าเดินทาง, ค่าโรงแรม, และมัดจำค่าที่พัก เป็นต้น เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายเบื้องต้น (ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบิน) เท่ากับว่าคนที่ต้องการหาประสบการณ์ต่างแดน ต้องมีเงินไม่ต่ำกว่า 134,000 บาทเลยทีเดียว!
ฝ่าหลายด่านกว่าจะได้ Work & Travel
เมื่อวางแผนจะไปทำงานจริง ๆ นอกจากเงินในกระเป๋าต้องพร้อม ใจต้องพร้อมแล้ว ทักษะภาษาอังกฤษก็ต้องได้ด้วยเช่นกัน เพราะต้องผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษเพื่อวัดระดับภาษา ความสามารถของแต่ละบุคคลว่าเหมาะสมกับงานประเภทใด ซึ่งเป็นงานที่นายจ้างรับนักศึกษาเข้าทำงาน อาทิ งานทำความสะอาดตามโรงแรมหรือรีสอร์ท งานพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารหรือร้านฟาสต์ฟู้ด งานบริการต่าง ๆ ในซูเปอร์มาร์เก็ต งานบริการในสวนสนุก หรือร้านขายของที่ระลึก
โดยหลังจากนั้นจะต้องผ่านการสัมภาษณ์งานจากนายจ้างด้วย ซึ่งอาจจะเป็นการสัมภาษณ์ผ่าน Skype ก่อนจะตอบรับเข้าทำงาน ขณะที่เรื่องวีซ่าก็ต้องดำเนินการให้เรียบร้อย เพื่อให้การผ่านเข้าประเทศเป็นไปอย่างไร้ปัญหา ซึ่งจะมีบริษัทเอเจนซี่ช่วยในการดำเนินการเรื่องนี้ให้
อยากเที่ยว ต้องทนลำบากให้ได้ก่อน!
อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้านี้ว่าการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศแบบ Work & Travel นั้น จะมีเวลาให้เราได้ท่องเที่ยวจริง ๆ เพียง 30 วันเท่านั้น เพราะต้องอยู่ในโครงการให้ครบกำหนด ซึ่งหมายความว่าต้องมีความอดทนในการทำงานให้ได้ตามระยะเวลาที่ทำสัญญากันไว้ ก่อนจะมีโอกาสได้ท่องเที่ยวสมใจอยาก
ช่วงระยะเวลาที่ทำงานจึงเป็นการพิสูจน์ความอดทนของแต่ละคนว่าจะรับแรงกดดัน รับความเหนื่อยยากจากการทำงานที่ได้รับค่าตอบแทนเฉลี่ยชั่วโมงละ 8-16 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 240-480 บาท (อ้างอิงข้อมูลจาก American Learning) ได้หรือไม่ เพราะแม้ว่าค่าตอบแทนซึ่งเป็นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำจะสูงกว่าในเมืองไทย แต่ค่าครองชีพในต่างประเทศก็สูงด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม หากมองว่าการไป Work & Travel ไม่ใช่การขุดทอง เพื่อโกยเงินเป็นกอบเป็นกำกลับมา แต่เป็นการไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เรียนรู้การใช้ชีวิตในต่างประเทศ เรียนรู้วัฒนธรรม ภาษา ก็น่าจะตอบโจทย์การไปทำงานในต่างประเทศได้มากกว่า และอย่างน้อย ๆ ก็ช่วยให้ได้เรียนรู้ว่าชีวิตที่ออกจากเกราะกำบังที่ปลอดภัยนั้น ไม่ใช่ทุ่งลาเวนเดอร์ที่มีไว้ให้วิ่งเล่นสวย ๆ แต่อย่างใด