สัมภาษณ์พิเศษ “เจ ปรัชฌา” ดาราเด็กที่รับบทพระนเรศวร ที่ไปใช้ชีวิตไกลถึงต่างแดน

สัมภาษณ์พิเศษ “เจ ปรัชฌา” ดาราเด็กที่รับบทพระนเรศวร ที่ไปใช้ชีวิตไกลถึงต่างแดน

สัมภาษณ์พิเศษ “เจ ปรัชฌา” ดาราเด็กที่รับบทพระนเรศวร ที่ไปใช้ชีวิตไกลถึงต่างแดน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ยังจำกันได้ไหม? เจ ปรัชฌา นักแสดงเด็กที่เคยรับบท พระองค์ดำ หรือ สมเด็จพระนเรศวรวัยเด็ก ในภาพยนตร์เรื่อง ตำนานสมเด็จพระนเรศวร ที่หลังจากเล่นภาพยนตร์เสร็จได้ปีเดียว ก็บินลัดฟ้าไปศึกษาต่อระดับมัธยมที่ประเทศจีน ก่อนจะไปศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกา เรียกได้ว่าเป็นหนุ่มหล่อนักเรียนนอกที่อนาคตไกลเลยทีเดียว

s__2334731

วันนี้ Sanook Campus เราจะพาเพื่อนๆ มาทำความรู้จักกับ ประวัติ เจ ปรัชฌา หนุ่มหล่อนักเรียนนอกผู้มีความคิดที่ดี เปิดกว้าง และมีมุมมองการใช้ชีวิตที่น่าสนใจคนนี้ให้มากขึ้นกันซักหน่อย

32170019_1989687704406577_175

ประวัติ เจ ปรัชฌา

  • เจ หรือ บีเจ มีชื่อจริงว่า ปรัชฌา สนั่นวัฒนานนท์
  • เกิดวันที่ 30 สิงหาคม 2538
  • ภูมิลำเนา เป็นคนกรุงเทพมหานคร
  • จบการศึกษาระดับมัธยมจาก Dulwich College Beijing ประเทศจีน
  • จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก คณะเศรษฐศาสตร์ UC Berkeley (University of California, Berkeley)
  • ปัจจุบันกำลังทำงานอยู่บริษัทที่มีชื่อว่า Amity (เทคสตาร์ทอัพ Series B ทำเทคโนโลยีเครื่องมือด้านการสื่อสารให้กับธุรกิจองค์กร)

ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่าง ไทยจีน อเมริกา คิดว่าการเรียนในประเทศไหนที่รู้สึกชอบมากที่สุด?

ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า ผมโชคดีที่ได้มีประสบการณ์ที่หลากหลาย ได้ลองเรียนทั้งที่ไทย จีน และอเมริกา สำหรับผมไม่มีที่ ที่ดีที่สุดหรือชอบที่สุด ผมคิดว่าแต่ละที่มีข้อดีข้อเสียของมัน ตอนผมไปเรียนโรงเรียนนานาชาติที่จีน ข้อดีคือ ได้เจอเพื่อนและคุณครูจากหลายประเทศ ทำให้ได้เรียนรู้ความต่างของวัฒนธรรม ยิ่งช่วงแรกที่ผมไป เป็นช่วงที่ปักกิ่งเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกปี 2008 ทำให้ได้เห็นเขาพัฒนาเมือง ถือเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจมากๆครับ ส่วนอเมริกา ผมได้เรียนที่มหาลัยภาครัฐ ทำให้ผมได้เจอคนมากมายที่มาจากต่าง background อย่างเช่น ทำงานตั้งแต่ 18 เพื่อหาเงินจ่ายค่าเล่าเรียน คนที่มาจากพื้นเพครอบครัวที่ไม่ดี หรือ เหตุการณ์ที่ไม่สงบ ทำให้ผมได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ได้เปิดหูเปิดตามากขึ้นว่า มุมมองชีวิตที่ไม่เหมือนกับเรามันเป็นอย่างไร

คิดว่าการเรียนที่จีนและอเมริกา มีความแตกต่างกันไหม?

ผมว่าที่จีนจะเน้นการเรียนเป็นส่วนใหญ่ เรียนหนักเพื่อสอบเข้ามหาลัยดีๆ ส่วนอเมริกาจะเน้นพัฒนาเยาวชนให้เป็นรูปแบบมากกว่า โดยเฉพาะการพัฒนานักกีฬามืออาชีพ ซึ่งผมรู้สึกประทับใจมากครับ เพราะตอนเด็กๆ ผมชอบดูฟุตบอล ดูประวัติของนักฟุตบอลซึ่งส่วนใหญ่จะออกจากโรงเรียนเพื่อที่จะเป็นนักฟุตบอลมืออาชีพตั้งแต่อายุ 13-14 ปี ผมคิดว่ามันเสี่ยงสูงเหมือนกันนะ ถ้าเกิดเขาไม่ประสบความสำเร็จเป็นนักกีฬามืออาชีพ แต่ระบบอเมริกาไม่ใช่แบบนี้ เขาจะพัฒนานักกีฬามืออาชีพผ่านระบบการเรียนมหาวิทยาลัย ส่วนใหญ่นักกีฬามืออาชีพจะไปเรียนมหาวิทยาลัยอย่างน้อยหนึ่งปีหรือไม่ก็ครบสี่ปีเลยก่อนที่จะเข้าลีคนักกีฬาอาชีพ

ได้ข่าวว่า ตอนเด็กเคยให้สัมภาษณ์ว่า อยากเป็นนักฟุตบอลทีมชาติ?

ผมชอบกีฬาฟุตบอลมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ ตอนนี้ก็ยังรักอยู่ ตอนนั้นผมคิดว่าถ้าไปเป็นนักฟุตบอลจะต้องเสียสละการเรียน ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าจริงหรือเปล่า แต่ว่าตอนนั้นผมอยากเน้นการเรียนมากกว่า จึงตัดสินใจเก็บฟุตบอลไว้เป็นงานอดิเรก แต่ถ้าในอนาคตได้ทำงานอะไรเกี่ยวกับฟุตบอลถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นอาชีพหลักก็คิดว่าคงรักมันมากๆ เลยครับ

16179173_1389848621057158_325

อะไรที่เป็นจุดตัดสินใจที่ทำให้เราอยากที่จะลุยเรื่องการเรียนเต็มที่ จนไปเรียนต่างประเทศ?

ผมคิดว่าตอนเด็กๆ ก็ไม่ได้ถึงกับมีวันหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้วก็แบบโอเค ตัดสินใจว่าจะไปเรียนนอก คืออย่างที่บอกว่าครอบครัวย้ายไปต่างประเทศ พอไปเรียนที่นู่นก็คิดอยากจะเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ให้พ่อแม่ภูมิใจ ผมตั้งใจอ่านหนังสือจนในที่สุดสอบเข้า Berkeley ได้ ถือเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ทำให้ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ผู้คน และบ้านเมืองของเขา กล่าวก็คือ ผมไม่ได้ถึงกับว่าตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะลุยไปทางนี้ แต่พอเรียนไปเรื่อยๆ ความคิดนี้ก็พัฒนาขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ

เจออุปสรรคอะไรบ้างในการเรียนที่ต่างประเทศ?

ตอนไปเรียนที่ Berkeley ผมยอมรับเลยว่า ไปเรียนตอนแรกๆ เรียนไม่ดีเลย มันไม่มีครูและผู้ปกครองมาคอยตามว่า เราเรียนได้ดีหรือเปล่า เหมือนกับตอนมัธยม ต้องเรียนด้วยตัวเอง มีความรับผิดชอบและวินัย ซึ่งตอนแรกผมคิดว่ายากมาก จนคิดว่าเราตัดสินใจถูกหรือเปล่า ผมกลับมาคุยกับพ่อแม่ว่า ผมไม่รู้ว่าจะรอดหรือเปล่า จะจบหรือเปล่า จะผ่านอุปสรรคนี้ไปได้หรือเปล่า แต่สุดท้ายผมก็กัดฟันทำไปเรื่อยๆ พยายามหาเพื่อนที่คอยช่วยเรา เป็นแรงบันดาลใจให้เรา เพื่อนที่ไว้วางใจได้ พอไปเรื่อยๆ ผมก็ทำมันได้ครับ

การที่ต้องไปเรียนที่ต่างประเทศตั้งแต่เรายังเด็กๆ รู้สึกเหงาบ้างไหม?

แน่นอนครับ ตอนไปเรียนโรงเรียนนานาชาติที่จีนแรกๆ ซึ่งเขาใช้ภาษาอังกฤษในการพูดคุยกัน ตอนนั้นภาษาอังกฤษผมแค่พอพูดคุยได้ แต่ไม่ถึงกับคล่อง พอไปคุยกับเพื่อนก็คุยไม่ค่อยรู้เรื่อง ช่วง 6 เดือน ถึง 1 ปี สำหรับผมมันยากมากครับ แต่ผมคิดว่า ผมโชคดีที่มีครอบครัวไปด้วย เขาก็คอยสนับสนุนบอกให้ผมค่อยๆปรับตัว ในช่วงปรับตัวอารมณ์เหงาก็มีบ้างครับ แต่ผมไม่คิดว่ามันเป็นอุปสรรคอะไร สำหรับเยาวชนที่จะไปเรียนนอกแล้วกลัวว่าจะเหงา ผมแนะนำว่า ให้ทำกิจกรรมอะไรที่ตัวเองชอบ เพราะกิจกรรมมันเหมือนกับการรวมตัวของคนที่มีความสนใจคล้ายๆกับเรา อย่างเช่น ผมที่ชอบเล่นกีฬาและดนตรี พอไปมีส่วนร่วมในกิจกรรม ก็ทำให้ได้เพื่อนได้สังคม เลยไม่รู้สึกเหงามากครับ

ตอนที่เราศึกษาที่ UC Berkeley เราได้ทำกิจกรรมอะไรที่มหาวิทยาลัยบ้าง?

ผมเป็นคนที่ชอบมีส่วนร่วมในกิจกรรมนอกห้องเรียน โดยเฉพาะทางด้านกีฬาและทางด้านดนตรี เพราะผมคิดว่าไม่ว่าจะอยู่ประเทศไหน อยู่ไทย จีน หรือ อเมริกา พวกกิจกรรมดนตรีกับกีฬามันเป็นอะไรที่สากลเลยครับ ผมได้เข้าร่วมทีมฟุตบอล และ ร้องเพลงประสานเสียงของมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ ผมยังได้เป็นส่วนหนึ่งในสมาคมนักเรียนนานาชาติและองค์พัฒนาเยาวชนด้วยครับ

12278729_1012995788742445_731

กิจกรรมในมหาวิทยาลัยอะไร ที่เรารู้สึกว่าสนุกที่สุด และเรียกว่าเป็นไฮไลต์ของชีวิตนักศึกษาเลย?

โห อันนี้ยากเลย เพราะผมชอบหลายอย่างมาก อย่างแรกคือ ผมได้เป็นส่วนหนึ่งในสมาคมนักเรียนนานาชาติที่ Berkeley หลังจากอยู่ได้ 2 ปี ผมก็ได้ขึ้นเป็นประธานสมาคม อันนี้ถือเป็นสิ่งที่ผมชอบและเป็นไฮไลท์ของชีวิตนักศึกษาเลยครับ เพราะว่า Berkleley เป็นมหาลัยที่ใหญ่มาก ไม่แปลกที่เราจะรู้สึกเหงา พอมีสมาคมที่รวมคนที่มาจากต่างประเทศมาอยู่ที่อเมริกา แต่ละคนก็คอยช่วยเหลือกัน มีสังคมในสมาคมนี้ ซึ่งทุกวันนี้ผมก็ยังสนิทและติดต่อกับเพื่อนเหล่านี้อยู่ แม้ว่าส่วนใหญ่จะกลับประเทศตัวเองกันหมดแล้ว อีกอย่างคือ องค์กรพัฒนาเยาวชน ที่มีจุดประสงค์หลักคือพัฒนาเยาวชนให้มีความเป็นผู้นำ ผมได้เข้าไปเวิร์คช็อปเพื่อพัฒนาทักษะทางด้านความเป็นผู้นำ และช่วงปีสามปีสี่ ผมได้มีโอกาสไปสอนนักเรียนที่เพิ่งเข้าปีหนึ่งแล้วอยากเพิ่มทักษะให้กับตัวเอง นี่ก็เป็นอีกองค์กรที่ผมประทับใจมากครับ เพราะผมรู้สึกว่านอกจากวิชาที่เราศึกษาในห้องเรียนแล้ว เราควรมีทักษะการเป็นผู้นำ ในการนำทีมและทำงานเป็นทีมครับ ซึ่งตอนนี้องค์กรที่ผมเคยทำก็ได้ขยายจากแคลิฟอร์เนียไปนิวยอร์คและไต้หวันด้วยครับ

UC Berkeley มหาวิทยาลัยแห่งนี้ให้อะไรกับเราบ้าง การเรียนที่นี่มันทำให้เรามีมุมมองอะไรที่แตกต่างจากเดิมมั้ย?

แน่นอนครับ ด้วยความที่ผมเป็นน้องคนสุดท้อง ทำให้ชินกับการทำให้ตามพี่ๆ และ คุณพ่อคุณแม่ เลยไม่ค่อยมีความคิดเห็นของตัวเอง พอผมได้มีประสบการณ์เรียนที่ Berkeley ได้รู้ว่าเขามีปัญหาทางด้านสังคมเยอะ เช่น Black lives matter การเหยียดสีผิว ซึ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก พอได้แลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนที่นั่น ทำให้ผมเปิดหูเปิดตามากขึ้นว่า แค่อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับเดียว หรือว่า ยึดติดกับมุมมองความคิดของใครสักคน อาจจะเป็นคุณพ่อคุณแม่หรือคุณครู มันแทบจะไม่พอเลยครับที่จะเปิดมุมมองของเราให้กว้างขึ้น ผมคิดว่าเราควรมีความคิดเห็นของตัวเอง แล้วค่อยตัดสินใจครับว่าเออตัวเองมีความคิดเห็นยังไง อันนี้มันถูกหรือผิด เราคิดว่ามันควรที่จะมีการเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง ปัญหามันอยู่ตรงไหนประมาณนี้ครับ

ทำไมถึงตัดสินใจเรียนต่อทางด้านเศรษฐศาสตร์ ชอบและสนใจตรงไหน?

ตอนที่ตัดสินใจเรียนเศรษฐศาสตร์ ผมมีความสนใจว่า มันช่วยพัฒนาการแนวการคิดของเราให้คิดวิเคราะห์ปัญหาต่างๆ อย่างไร ผมชอบวิชาเศรษฐศาสตร์มากที่สุดครับ คือชอบตั้งแต่การร่างกฎหมาย นโยบายต่างๆ ของแต่ละประเทศ เขาดูสถิติตรงไหน แล้วเขาตัดสินใจพวกกฎเกณฑ์พวกนี้มาอย่างไร อะไรประมาณนี้ และผมได้นำการคิดวิเคราะห์ วิธีการแก้ปัญหาของวิชานี้ มาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง เหมือนเป็นกึ่งๆ ซอฟต์สกิลที่เอามาใช้ในการทำงานได้

12615566_1045400838835273_390

พูดถึง culture shock กันซักหน่อย เพราะเราอยู่มา 3 ประเทศ ไทย จีน อเมริกา ซึ่งมีความแตกต่างกันมากๆ เรามี culture shock บ้างรึเปล่าในช่วงแรก?

ผมคิดว่า culture shock มากที่สุดก็คือ ตอนไปอยู่จีนครับ เพราะว่าเป็นช่วงที่จีนกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็วจากประเทศที่ยากจนและก็มีปัญหาเยอะมากๆ กลายเป็นประเทศที่พัฒนาเกือบจะแซงกับอเมริกากับยุโรปเลยด้วยซ้ำในระยะเวลาอันสั้น เค้าเลยมีการเปลี่ยนแปลงที่เยอะมาก และด้วยความที่ผมไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับจีน ไม่ได้ดูสื่อจีน หรือไม่ได้มีเพื่อนที่เป็นคนจีนอะไรมากมายตอนก่อนที่จะย้ายไป ทำให้ culture shock พอสมควรครับ ถ้าเปรียบเทียบกับตอนที่ย้ายไปอเมริกา ผมคิดว่าไม่ค่อย culture shock มากครับ เพราะว่าตอนเด็กๆ ผมชอบดูหนัง ทีวี ซีรีส์ของอเมริกา ทำให้รู้ว่าวัฒนธรรมเขาเป็นอย่างไร พอย้ายไปอเมริกาเลยคุ้นเคยกับมันพอสมควรแล้ว

เรารับมือกับ culture shock ยังไง?

ผมว่าเราต้องเป็นคนที่เปิดใจนิดนึง มันอาจจะเป็นอะไรเล็กๆน้อยๆก็ตามที่เราไม่คุ้นเคย หรือคิดว่าแปลก ทำไมเขาทำแบบนี้ ทำไมบางอย่างเขายอมรับ บางอย่างไม่ยอมรับ เราต้องเปิดใจยอมรับว่า นี่คือวัฒนธรรมของเขา สังคมของเขาเป็นแบบนี้ แล้วถ้าเราพยายามทำความเข้าใจว่ามันเป็นมาอย่างไรหรือว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ ผมคิดว่ามันเป็นโอกาสให้เราเรียนรู้อะไรได้เยอะเลยครับ

คำแนะนำสำหรับเด็กๆ ที่มีความฝันอยากที่จะไปเรียน ไปใช้ชีวิตต่างประเทศ เราควรเริ่มจากอะไร?

อันนี้ผมตอบเลยสั้นๆว่า เริ่มจากตัวเองครับ ทุกคนจะมีอุปสรรคที่ไม่เหมือนกัน อาจจะเป็นการเงิน ค่าเล่าเรียน หรือคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากให้ไปอยู่ที่ไกลๆ ผมคิดว่าถ้าเริ่มจากตัวเอง แล้วเราอยากได้จริงๆ เราหาทางได้ครับ เราไปหาทุน ค่าเล่าเรียนได้ เราคุยกับคุณพ่อคุณแม่ได้ เราไปศึกษาเรียนเพิ่ม เรียนพิเศษอะไร ทำได้หมดครับ ถ้าเราอยากได้มันพอ ผมเชิญชวนให้นักเรียนไทยไปมีประสบการณ์ที่ต่างประเทศดูครับ ผมคิดว่ามันเปลี่ยนชีวิตผมมากเลยครับ

a10414981-vote0

ย้อนกลับมาช่วงที่เรามีผลงานการแสดงที่ไทยหน่อย ในตอนนั้น อะไรคือสิ่งที่ทำให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งในผลงานที่เรียกว่าเป็นที่พูดถึงมากๆ อย่างตำนานสมเด็จพระนเรศวร?

ผมว่าผมโชคดีครับ เพราะผมไม่ได้ไปสมัครคัดตัวหรือว่าอะไร ตอนนั้นท่านมุ้ย (ผู้กำกับ) ส่งทีมงานมาที่โรงเรียนเพื่อมาหาคนเล่นเป็นพระนเรศวรตอนเด็ก แล้ววันนั้นผมก็นั่งกินข้าวอยู่ แล้วเค้าก็บอกว่าคนนี้หน้าตาคล้ายๆผู้พันเบิร์ดที่เล่นเป็นพระนเรศวรตอนโต ก็เลยได้ไปคัดตัวและได้บทนี้มา ซึ่งตอนนั้นผมก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไร รู้แค่พ่อแม่บอกให้ไปเล่นหนัง ที่จริงพอนึกย้อนกลับไป ก็ไม่เข้าใจว่ามันยิ่งใหญ่ถึงขนาดไหน จนผมได้ไปออกงาน ไปประชาสัมพันธ์ให้กับหนัง พึ่งมาเข้าใจว่า อันนี้หนังใหญ่เหมือนกันนะ แล้วก็มีคนดูมีคนชื่นชอบเยอะ ซึ่งผมก็รู้สึกว่าโชคดีมากครับ

รู้สึกคิดถึงงานในวงการบันเทิงไทยไหม?

ตอนนี้ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะเข้าวงการบันเทิงเลยครับ แต่เดิมก็ไม่เคยมีความตั้งใจที่จะเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่แรกแล้วครับ แต่โชคดีที่ตอนนั้นได้รับโอกาสเล่นพระนเรศวร ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดจริงๆเลยครับ

ไอดอลหรือคนที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเราคือใคร?

อย่างที่บอกนะครับ ผมชอบฟุตบอลมาตั้งแต่เด็ก ไอดอลของผมก็คือ ผู้จัดการทีมเก่าของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ซึ่งตอนนี้เค้าเกษียณแล้ว เขาเป็นไอดอลของผมมาตั้งแต่เด็กที่เริ่มติดตามฟุตบอล เพราะว่าเขาเป็นคนที่ถ่อมตน และก็เป็นผู้จัดการทีมที่เข้าใจนักเตะของเขามาก มีความเป็นผู้นำ รู้ว่าถ้าเตะครึ่งแรกแล้ว เราโดนคู่แข่งนำสองศูนย์ เราจะดึงทีมกลับมาอย่างไร และ ต้องมีทัศนคติแบบไหนถึงจะกลับมาชนะได้ นอกจากนี้ ก็คือ คุณพ่อคุณแม่ครับ แต่เดิมพ่อแม่ก็ไม่ได้มีฐานะและชื่อเสียงอะไรมาก แต่เขามีความฝันว่า พอมีลูกแล้ว อยากเปิดโอกาสให้ลูกไปเรียนและมีประสบการณ์ที่เมืองนอก พูดภาษาอังกฤษได้ ไม่ว่าจะพบปะกับคนจากประเทศไหน ก็สามารถสื่อสารกับเขารู้เรื่อง คุณพ่อคุณแม่จึงทำงานหนักมากตอนที่เรายังเด็กเป็นสิบๆปี เพื่อที่จะให้โอกาสนั้นให้กับเรา พอตอนนี้ผมโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว พยายามเริ่มทำด้วยตัวเองแล้ว ถึงได้รู้ว่าสิ่งที่พ่อแม่ทำมันยากขนาดไหน ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่อย่างมากเลยครับ

ในอนาคตวางแผนตัวเองไว้ยังไง?

ในอนาคตอีกไม่นานคงกลับไปเรียนต่อโท แต่ผมยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะไปทางด้านไหน แต่คงอยากลองเรียนอย่างอื่นนอกจากเศรษฐศาสตร์ครับ

เนื้อหาโดย Pornnapat W.

อัลบั้มภาพ 24 ภาพ

อัลบั้มภาพ 24 ภาพ ของ สัมภาษณ์พิเศษ “เจ ปรัชฌา” ดาราเด็กที่รับบทพระนเรศวร ที่ไปใช้ชีวิตไกลถึงต่างแดน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook