สัญญาณบรรยากาศแปลก ๆ เพื่อนร่วมงานกำลังไม่พอใจคุณ
เรื่องบรรยากาศในที่ทำงาน เป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนและน่าปวดหัว ตรงที่ต่อให้ไม่ชอบหน้ากันหรือไม่พอใจกัน ก็ยังต้องทำงานด้วยกัน จะคุยด้วยก็ลำบากหากอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือ และยิ่งถ้าเป็นคนที่เคยสนิทกันดี ๆ แต่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนไปจนคุณรู้สึกได้ ก็ไม่แปลกที่คุณจะรู้สึกทำตัวไม่ถูก เพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ปัญหาการกระทบกระทั่งกันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้กับคนที่ทำงานร่วมกัน บางทีคุณอาจรู้ตัวว่าผิดที่ไปทำให้ใครไม่พอใจ แต่บางทีก็ไม่รู้ตัว หรือบางทีคุณอาจจะไม่ได้ทำอะไรผิดด้วยซ้ำ แต่อีกฝ่ายกลับแสดงอาการไม่พอใจกับคุณซะได้ เป็นเพราะเขาอาจไปรู้อะไรจากปากคนอื่นมาแล้วเชื่อโดยไม่ถามคุณ หรืออยู่ดี ๆ ก็เกิดอคติกับคุณเพราะคุณอาจเก่งเกินหน้าเกินตาจนคนหมั่นไส้หรืออิจฉา สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้เสมอ
ความไม่พอใจของคนอื่นที่มีต่อคุณ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งที่คุณเป็นคนกระทำให้เขาไม่พอใจ และคุณอยู่เฉย ๆ แต่เขาไม่พอใจอะไรบางอย่างในตัวคุณ ไม่ถูกชะตาคุณเอง ถ้าเป็นแบบในกรณีหลัง คุณไม่จำเป็นต้องเครียดอะไรตราบเท่าที่คุณไม่ได้ทำอะไรผิด เพราะคุณไม่ได้ถูกเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่แบน มันเป็นเรื่องระหว่างบุคคลที่ไปเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ ก็ต้องยอมรับว่ามีคนรักก็มีคนเกลียด ถึงอย่างนั้นก็ต้องระวังการมีข่าวลือแปลก ๆ จนคนส่วนใหญ่ในออฟฟิศเริ่มไม่พอใจคุณด้วย
Tonkit360 อยากเตือนเอาไว้ เผื่อคุณยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังถูกใครสักคนในออฟฟิศเหม็นขี้หน้า คุณควรรู้ตัวไว้ว่าคนรอบข้างไม่ได้อยากเป็นมิตรกับคุณทุกคน
แอบมีคำพูดเหน็บแนมจิกกัด
การพูดเล่นแซว ๆ กันแบบที่ไม่เสียมารยาทหรือล้ำเส้นกัน เป็นความบันเทิงที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในออฟฟิศ แต่ถ้าจู่ ๆ คุณรู้สึกได้ว่าคำพูดที่อีกฝ่ายใช้กับคุณมันทะแม่ง ๆ ออกแนวเสียดสี ดูถูก แดกดัน เหน็บแนม จิกกัด ประชดถี่ หรือแซะแรงกว่าที่เคย จนทำให้คุณรู้สึกว่ามันเกินไปหน่อยแล้วนะ หรือเริ่มทำให้คุณดูแย่ในสายตาคนอื่น ซึ่งมันอาจเป็นคำพูดทั่วไป แต่น้ำเสียงนั้นชัดเจน มั่นใจได้เลยว่าเขากำลังไม่พอใจคุณอยู่ อาจถึงขั้นเหม็นหน้าและเกลียดไปเลยก็ได้ ถ้าคุณพอจะรู้ตัวว่าผิดเรื่องอะไร เคลียร์ได้ให้รีบเคลียร์ ก่อนที่บรรยากาศมันจะแย่ไปกว่านี้
ตีตัวออกห่าง
เมื่อไรก็ตามที่คุณรับรู้ได้ถึงระยะห่างระหว่างคุณกับเขา ซึ่งมักจะมาพร้อมกับความเงียบ บรรยากาศรอบตัวคุณกับเขาเริ่มอึมครึมไม่คุ้นเคย จากที่เคยชวนไปกินข้าวด้วยกันก็ไม่ชวน เคยทักทายมีเสียงหัวเราะ สิ่งนั้นก็ค่อย ๆ หายไป หรือเขาพร้อมจะทักทายทุกคนในที่ทำงานอย่างเป็นมิตร แต่กระอักกระอ่วนกับคุณ เวลามีเรื่องงานที่คุณไม่รู้ก็เก็บเงียบ ไม่อยากร่วมวงสนทนาที่มีคุณอยู่ ถ้าเป็นไม่กี่วันแล้วหาย เขาอาจจะแค่เหนื่อยหรืองอนคุณนิดหน่อย หายแล้วก็เหมือนเดิม แต่ถ้าหลังจากนั้นเขาไม่กลับมาปกติอีกเลย ต้องทบทวนแล้วว่าไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือเปล่า
ภาษากายชัดเจน
ภาษากาย (เวลาเผลอ) เนี่ย สะท้อนความเกลียดชังได้ดีที่สุด ที่สำคัญชัดเจนกว่าคำพูดเสียอีก เพราะมันมักจะถูกแสดงออกมาโดยไม่ได้ผ่านการประดิดประดอยเพื่อเอาใจใคร ถ้าภาษากายของเขาเริ่มไม่รักษามารยาทที่ดีในการเป็นคู่สนทนากับคุณ นี่ก็ค่อนข้างชัดเจน เช่น ยืดกอดอกคุยด้วย ทำหน้าเอือมระอา เบื่อหน่าย หรือพยายามเบือนหน้าหนีเวลาที่ต้องคุยงานกับคุณ ใช้หางตามองต่ำยิ้มแห้ง หรือเบะปากมองบนให้เห็นเป็นครั้งคราว ไม่สบอารมณ์ทุกครั้งที่เจอคุณ ถ้าต้องคุยก็ทำอย่างเสียไม่ได้ ทำเหมือนคุณไร้ตัวตน รวมถึงการจับกลุ่มนินทาแล้วหยุดเงียบทันทีที่คุณเดินมา
เล่นแง่ใส่ได้ทุกเรื่อง
“คนไม่ใช่ทำอะไรก็ผิด” ไม่ได้ใช้กับเรื่องความรักเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นได้กับคนที่ทำงานด้วยกันด้วย ถ้าเขาไม่พอใจคุณ เขาจะเริ่มมีพฤติกรรมเล่นแง่ใส่คุณ เริ่มจากเขามักจะไม่เห็นด้วยกับคุณไม่ว่าคุณจะเสนอไอเดียอะไรไป ทั้งที่คนอื่น ๆ ไม่มีปัญหา ทำอะไรก็จะถูกตั้งคำถาม ถูกวิจารณ์ไปซะทุกอย่าง มักจะมีเงื่อนไขแปลก ๆ ให้คุณทำพิเศษกว่าคนอื่น จ้องจับผิด จะเอาชนะ และพร้อมจะเยาะเย้ยถากถางเบา ๆ (ไปจนถึงแรง) เมื่อคุณผิดพลาด ถ้าเขายังพอมีมารยาท เขาจะแซะคุณเฉพาะเรื่องงาน แต่ถ้าไม่ มันจะล้ำเส้นไปจนถึงเรื่องส่วนตัวเลยล่ะ
สัญชาตญาณบอกว่านี่คือการเริ่มต้นสงครามประสาท
รู้ไหม ว่าคนเราน่ะไม่ควรมองข้ามสัญชาตญาณของตนเองเด็ดขาด คุณจะรู้สึกในใจลึก ๆ ทันทีที่คนรอบข้างเปลี่ยนไป แม้ว่าจะยังอธิบายว่าอะไรที่เปลี่ยนและเปลี่ยนไปอย่างไร เริ่มจากจะสัมผัสได้ว่าคนคนนี้ไม่อยากจะเป็นมิตรกับคุณสักเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงขั้นตั้งตัวเป็นศัตรู สังเกตได้จากสายตาที่เขาใช้มองคุณและการกระทำ ซึ่งมันทำให้คุณรู้สึกกดดันและประสาทกินรายวันกับบรรยากาศแบบนี้ แรก ๆ คุณอาจจะยังไม่แน่ใจ ลองสังเกตพฤติกรรมเขาไปเรื่อย ๆ บวกกับกลับมาทบทวนว่าตัวเองทำอะไรให้เขาไม่พอใจหรือไม่ เพื่อดูว่าเขากำลังจะเกลียดคุณจริง ๆ หรือคุณแค่คิดไปเอง