ไอเดียเลือกสวมใส่เสื้อผ้าไปทำงาน ในตู้มีน้อยก็ใส่ซ้ำได้นะ!
โดยปกติแล้ว เรื่องของการสวมใส่เสื้อผ้าถือว่าเป็นรสนิยมและความชอบส่วนบุคคล ใครใคร่แต่งตัวแบบไหนก็แต่งแบบนั้น แต่เมื่อพูดถึงการแต่งตัวไปทำงาน หลาย ๆ คนอาจจะบอกว่าตนเองไม่มีปัญหาเรื่องการเลือกเสื้อผ้าใส่ไปทำงาน เพราะมียูนิฟอร์มที่ต้องสวมใส่เหมือนกันอยู่แล้ว บางคนสามารถแต่งกายแบบไปรเวตได้ เพียงแต่มีเงื่อนไขของความสุภาพของสถานที่ราชการ นั่นทำให้ผู้หญิงไม่สามารถสวมใส่กางเกงได้ (เว้นแต่บางทีอาจมีวันฟรี) รวมถึงผู้ชายก็ไม่สามารถสวมใส่กางเกงยีนที่ตนเองชื่นชอบไปทำงานได้เช่นกัน
ในขณะที่มีคนวัยทำงานอีกจำนวนไม่น้อยที่มีอิสระในการแต่งกายไปทำงาน เนื่องจากบริษัทหรือที่ทำงานไม่ได้มีกฎข้อบังคับเรื่องการแต่งกาย ซึ่งส่วนใหญ่ หนุ่มสาววัยทำงานก็มักจะเลือกแต่งกายแบบที่เหมาะสมกับหน้าที่การงานของตัวเอง บนพื้นฐานที่ว่าไม่จำเป็นต้องเป็นทางการ ไม่ได้มีกฎข้อบังคับหรือข้อห้ามอะไร เพียงแต่ต้องดูสุภาพและไม่ได้ตามใจตัวเองจนแหกจารีตของบริษัทหรือของสังคม หลายคนจึงสามารถสวมใส่เสื้อผ้าตามสมัยนิยมหรือแต่งตัวตามแฟชั่นไปทำงานได้
สำหรับคนทำงานที่สามารถเลือกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายสำหรับสวมใส่ไปทำงานเองได้ Tonkit360 มีไอเดียการเลือกสวมใส่เสื้อผ้าไปทำงานมาฝาก รวมถึงใครที่ไม่ได้มีเสื้อผ้ามากมายเต็มตู้ ก็ไม่ต้องกังวลไปเรื่องที่จะต้องใส่เสื้อผ้าซ้ำ แล้วทำให้คนรอบข้างบางคนมีปัญหาหรือตั้งคำถามที่ใส่เสื้อผ้าซ้ำ ตราบใดที่คุณซักเสื้อผ้าใหม่ทุกครั้ง และไม่ได้ใส่เสื้อผ้าซ้ำแบบซ้ำวันซ้ำตัวเดิม
เปิดตารางสีเสื้อมงคล
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล ไม่ได้ด้วยมนต์ ก็เอาด้วยคาถา เป็นความเชื่อของสายมูเรื่องการสวมใส่สีเสื้อมงคลประจำวัน เคล็ดลับเพิ่มความมั่นใจ ทั้งยังช่วยเสริมสิริมงคลและความโชคดีในด้านต่าง ๆ เช่น การงาน การเงิน ความรัก หรือจะเพื่อส่งเสริมอำนาจ บารมี สุขภาพ ผู้ใหญ่เมตตา อะไรก็ว่าไป ที่สำคัญกว่า คือ สีเสื้ออัปมงคลหรือสีกาลกิณีประจำวัน ที่ว่าแต่ละวันไม่ควร (ห้าม) สวมเสื้อผ้าสีอะไร บางคนอาจไม่ได้สนใจจะเสริมดวงด้านใดด้านหนึ่งเฉพาะ ขอแค่หลีกเลี่ยงสีกาลกิณีก็พอ รู้ไว้ไม่เสียหาย จะใส่ตามตารางก็ไม่เสียหายเช่นกัน ถือเป็นความสบายใจส่วนตัว
เสื้อผ้าสีพื้นคือยืนหนึ่ง
ตรงที่มันสามารถนำมา Mix & Match ได้หลายแบบหลายสไตล์ ด้วยความที่มันเป็นเสื้อผ้าสีเรียบง่าย ธรรมดา สามารถจับมาเข้าคู่กันได้ง่ายและหลายลุคตามความชอบส่วนตัวให้ออกมาดูดีและเป็นตัวเองได้ไม่ยาก โดยเฉพาะ ลุคมินิมอลที่โดดเด่นมาก เนื่องจากเสื้อยืดสีพื้นถือเป็นไอเทมที่ตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบสไตล์การแต่งตัวแบบมินิมอล คุมโทนง่าย ดูสุภาพเรียบร้อย ใช้ได้ทุกโอกาส หาซื้อง่าย ที่สำคัญคือเสื้อผ้าสีพื้นยังสวมใส่ได้ในทุกโอกาส เพราะการไปทำงานส่วนใหญ่ยังต้องแต่งกายแบบมีกาลเทศะมากกว่า ต่างจากเสื้อผ้าที่มีสีสันหรือลวดลายฉูดฉาด ที่จะมีโอกาสได้ใช้น้อยกว่าในหลาย ๆ บริบท
สวมเสื้อผ้าที่เข้ากับรูปร่างและสีผิว
ไม่ว่าจะอ้วนหรือผอม สูงหรือเตี้ย ทุกคนสามารถแต่งตัวให้ออกมาดูดีได้หมด เพียงแต่ต้องมีเคล็ดลับนิดหน่อยในการแต่งตัวเพื่อเน้นจุดเด่นและพรางจุดด้อย ซึ่งตรงนี้แต่ละคนจำเป็นต้องรู้และเข้าใจในรูปร่างของตัวเองก่อนว่าเป็นแบบไหน จากนั้นต้องรู้จักเลือกเสื้อผ้าในแบบที่เหมาะกับรูปร่างตัวเอง สีของเสื้อผ้าสีไหนที่จะช่วยเน้นจุดเด่นและพรางจุดด้อยของร่างกาย รวมถึงเข้ากับสีผิวด้วย การเลือกสวมใส่เสื้อผ้าให้เข้ากับรูปร่างและสีผิว จะทำให้ผู้สวมใส่มีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ช่วยให้ดูสง่างาม และมีบุคลิกภาพดีขึ้น
แต่งให้เข้ากับกาลเทศะ
โจทย์ก็คือ การแต่งตัวไปทำงาน แม้ว่าบริษัทเอกชนหลาย ๆ แห่งจะเปิดเสรีให้พนักงานสามารถสวมเสื้อผ้าไปรเวทไปทำงานได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นทางการ ไม่ได้มีกฎข้อบังคับหรือข้อห้ามอะไร ดังนั้น พนักงานออฟฟิศหลาย ๆ แห่งก็จะสามารถสวมเสื้อยืด กางเกงยีน กางเกงขาสั้น รองเท้าผ้าใบไปทำงานได้ หรือผู้หญิงไม่จำเป็นต้องสวมกระโปรง เพียงแต่อยู่บนเงื่อนไขของความสุภาพและมีกาลเทศะ ไม่น่าเกลียดก็พอ ส่วนคนทำงานที่มีชุดยูนิฟอร์มของบริษัทก็จะไม่สามารถแต่งตัวตามใจฉันได้อยู่แล้ว รวมถึงบริษัทส่วนใหญ่ พนักงานก็ยังจำเป็นต้องใส่สูทผูกไทหรือใส่เดรสอยู่
ดูสภาพอากาศด้วย!
เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายมักถูกออกแบบมาให้เข้ากับสภาพอากาศของแต่ละพื้นที่ ในยุคต่อมาแสดงถึงวัฒนธรรมและแฟชั่นเข้าไปด้วย ผู้สวมใส่อาจต้องคำนึงถึงสภาพอากาศสักหน่อยเมื่อจะเลือกเสื้อผ้ามาใส่ ถึงจะอยากตามแฟชั่นแค่ไหนก็ต้องพิจารณาด้วยว่าบ้านเราเป็นเมืองร้อน ไม่เช่นนั้นอาจได้ผิวไหม้ หรือเป็นลมไปเสียก่อนแน่ ที่สำคัญ เสื้อผ้าที่ไม่เหมาะกับสภาพอากาศ อาจทำให้เกิดลักษณะไม่พึงประสงค์ขึ้นมาโดยไม่คาดคิด เช่น การสวมใส่เสื้อผ้าที่หนาเกินไปทั้งที่อากาศร้อนมาก จะทำให้ผู้สวมใส่เหงื่อออกมาก และอาจตามมาด้วยกลิ่นตัวรบกวนคนใกล้เคียง
เสื้อผ้าไม่ได้ถูกออกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง
ขึ้นชื่อว่าเสื้อผ้า (เครื่องนุ่งห่ม) มันเป็นนวัตกรรมที่ถูกออกแบบมาให้มนุษย์ใช้สวมใส่ปกปิดส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ช่วยป้องกันอากาศหนาวเย็นหรือแสงแดด ป้องกันอันตรายจากการที่อวัยวะไปกระแทกกระทบวัตถุอื่น ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงเริ่มสวมใส่เสื้อผ้า โดยเสื้อผ้าในปัจจุบัน มันถูกคิดค้นขึ้นเพื่อใช้ทดแทนสิ่งที่มนุษย์ยุคดึกดำบรรพ์เคยใช้นุ่งห่มร่างกาย เช่น พวกใบไม้ หนังสัตว์ ดังนั้น มันทนทานกว่าพวกใบไม้ จึงไม่ได้ออกแบบมาให้สวมใส่ครั้งเดียวทิ้ง เพราะฉะนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดหรือผิดบาป ถ้าเราจะสวมใส่เสื้อผ้าตัวเดิมมากกว่า 1 ครั้งไปทำงาน
ใส่ซ้ำแล้วไงใครแคร์ ที่บ้านมีเครื่องซักผ้า
มีใครเคยถูกตั้งคำถามว่าทำไมชอบใส่เสื้อผ้าซ้ำ ๆ บ้างไหม หรือบางทีอาจมีคำพูดในเชิงเหน็บแนมเล็ก ๆ ว่าเสื้อผ้ามีแค่นี้เหรอถึงใส่ซ้ำจังเลย คือต้องทำความเข้าใจก่อนว่าโลกใบนี้มีวิวัฒนาการมาจนถึงปี 2021 แล้ว อีกนิดเดียวจะเข้า 2022 แล้วด้วยซ้ำ นี่ยังไม่ได้นับรวมช่วงก่อนประวัติศาสตร์เข้าไปเลยนะ คือ ทุกวันนี้โลกเรามีเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยมาก ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนที่ไม่ได้มีเสื้อผ้ามากมายเต็มตู้ แต่มีเท่าที่พอสวมใส่ ซึ่งจำเป็นต้องทำความสะอาดด้วยการซักก่อนแล้วค่อยวนกลับมาใส่
ซึ่งนวัตกรรมที่เรียกว่า “เครื่องซักผ้า” เกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหานี้ โดยเครื่องซักผ้าระบบไฟฟ้ามีมาใช้ตั้งแต่ปี 1907 แล้ว ต้องขอบคุณอัลวา ฟิสเซอร์ ที่คิดค้นมันขึ้นมา ต่อด้วยนวัตกรรมที่เรียกว่า “ผงซักฟอก” ก็เริ่มมีใช้มาตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่หมด ขอแถม “เตารีด” ให้อีกหนึ่ง (เพื่อลดรอยยับของเสื้อผ้า) โดยเตารีดไฟฟ้าเริ่มมีใช้ตั้งแต่ปี 1781 (ขอขอบคุณ โรเบิร์ต แฮร์) เพราะฉะนั้น การใส่เสื้อผ้าซ้ำก็ทำได้ไม่ใช่ปัญหา ตราบใดที่เราทำความสะอาดมันแล้วก่อนจะนำมาใส่ใหม่ หรือถ้าไม่มีเครื่องซักผ้า โลกนี้ก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า “กะละมัง” กับ “แปรงซักผ้า” อยู่นะ จริง ๆ ใช้มือขยี้ก็ได้