นานาเหตุผล ว่าทำไมเด็กรุ่นใหม่จึงเมินงานประจำ

นานาเหตุผล ว่าทำไมเด็กรุ่นใหม่จึงเมินงานประจำ

นานาเหตุผล ว่าทำไมเด็กรุ่นใหม่จึงเมินงานประจำ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในโลกยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราจะเห็นว่าเด็กรุ่นใหม่ ๆ หรือเด็กที่เรียนจบใหม่หลายคนไม่ได้มีความฝันที่อยากจะเป็นพนักงานดีเด่นประจำขององค์กรดัง ๆ อีกต่อไปแล้ว โดยเฉพาะคนที่มีทักษะโดดเด่น มีความสามารถหลากหลาย คนกลุ่มนี้ถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่องค์กรต้องการตัว ทว่าหลาย ๆ คนกลับเมินงานประจำ แล้วเดินหน้าหางานอิสระที่ใช่สำหรับตัวเอง น่าสนใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่อยากจะเดินเข้าสู่ระบบงานประจำเหมือนกับคนรุ่นก่อน ๆ

รายได้สวนทางกับค่าครองชีพ ไม่คุ้มแลกกับปัญหาสุขภาพ

หลังจากเรียนจบปริญญาตรี ฐานเงินเดือนเด็กจบใหม่ของพนักงานประจำจะอยู่ราว ๆ 12,000-20,000 บาท ในขณะที่ค่าครองชีพเมื่อรวมทุกอย่างแล้วเงินแทบไม่พอใช้ โดยเฉพาะคนทำงานที่อาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ และแน่นอนว่าแทบไม่มีให้เหลือเก็บเช่นกัน ในขณะเดียวกัน กว่าจะได้เงินเดือนมา พวกเขาต้องเผชิญกับระบบของงานประจำที่เครียด กดดัน การทำงานที่ไม่จุดสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน นั่นทำให้พวกเขามองว่าเงินเดือนที่ได้ไม่คุ้มแลกกับปัญหาสุขภาพ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต

เมื่อหันมามองเทรนด์อาชีพในปัจจุบัน อย่างพวกอาชีพอิสระ แค่มีอินเทอร์เน็ตก็เอื้อประโยชน์ในการทำงานต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ มีงานจำนวนไม่น้อยที่ก็อาจจะเหนื่อยไม่ต่างจากงานประจำ แต่ต่างกันตรงที่สนุกกว่า ท้าทายกว่า อิสระกว่า และที่สำคัญคือทำเงินได้สูงกว่า งานอีกจำนวนหนึ่งก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรมากมาย เช่น การเล่นคริปโตฯ สร้างงาน NFT นักลงทุน พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ และการเป็นคนดังในโลกออนไลน์ มันคืออิสระที่ไม่ต้องนั่งทำงานเต็มวัน 8-9 ชั่วโมง ทำงานไม่กี่ชั่วโมงก็อาจมีรายได้มากกว่าคนที่นั่งทำงานทั้งวันด้วยซ้ำไป มันอาจจะเสี่ยงแต่ก็คุ้มค่าที่จะลอง

ในเมื่อเงินเดือนหรือรายได้ที่ได้จากการทำงานประจำกับเงินเดือนหรือรายได้ที่ได้จากการเป็นนายตัวเอง นั้นอาจจะไม่ได้ต่างกันมาก แต่ข้อดีหลาย ๆ ข้อของอาชีพอิสระก็จูงใจให้พวกเขาหันหลังให้งานประจำ ในเมื่อสามารถมีชีวิตดีกว่า ยังมีเงินใช้ และแนวโน้มที่ดีว่าอาชีพอิสระเหล่านี้จะหาเงินได้มากกว่าการทำงานประจำ

ในยุคที่อินเทอร์เน็ตทำงานได้ทุกอย่าง โลกออนไลน์ โลกดิจิทัลเฟื่องฟู

ต้องยอมรับว่าอินเทอร์เน็ตทำให้เกิดอาชีพใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย โดยเป็นอาชีพที่สนุก ทำง่าย ไม่เหนื่อยมาก ทำจากที่ไหนก็ได้ไม่ต้องเดินทาง สามารถมีชื่อเสียง และได้เงินดี ซึ่งหลาย ๆ คนสามารถสร้างตัวตนในโลกออนไลน์ขึ้นมาได้ในระยะเวลาอันสั้น สิ่งที่ตามมาคือชื่อเสียงและเงินทอง แถมงานบางอย่างยังได้ทำในสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบอย่างเต็มที่ เช่น ชอบเล่นเกมแถมเล่นเก่งมากจนกลายเป็นนักแคสเกม รายที่ดังระดับโลกสร้างเงินได้มหาศาลเพียงแค่นั่งเล่นเกมให้คนดู จะเห็นว่าพวกเขาไม่ต้องทำงานหนัก ไม่ได้เหนื่อยมาก ทว่ารายได้สูงมาก แต่ก็ต้องเข้าใจว่าจะไปถึงระดับนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่ใช่ทุกคนจะทำได้แบบนั้น

เด็กรุ่นใหม่หลายคนอาจไม่ได้ฝันไกลที่จะโด่งดังระดับโลกหรือกลายเป็นมหาเศรษฐี พวกเขาก็ทำงานเหล่านี้แค่พอมีกินมีใช้ อยู่รอดได้โดยไม่ต้องทำงานประจำ ในมุมของพวกเขา มันสบายใจกว่าเพราะไม่ต้องเข้าระบบไปเจอกับความกดดัน ความเครียด ปัญหาจากคนทั้งเพื่อนร่วมงานและนายจ้าง ไม่ต้องเข้างาน 9 โมงเช้าออกงาน 6 โมงเย็น ถึงแม้ว่างานประจำจะได้เงินเดือนแน่ ๆ แต่งานอิสระข้างนอกมันมีโอกาสได้ลุ้นที่จะรวยได้ง่ายกว่า แม้ว่าจะต้องลองผิดลองถูก เสี่ยงหัวเสี่ยงก้อยไปก่อนก็ตาม

พูดง่าย ๆ ก็คือช่องทางการทำงานหรือสร้างรายได้ มันมีอยู่ในสมาร์ตโฟนในมือทุกคน แค่สามารถเชื่อมอินเทอร์เน็ตได้ ก็ทำให้เราสามารถที่จะค้าขายออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา หรือจะใช้สำหรับลงทุนหุ้นออนไลน์ เล่นคริปโตฯ ก็ซื้อขายได้ง่ายด้วยตัวเอง นับเป็นช่องทางการหาเงินจากอินเทอร์เน็ตโดยที่เราไม่จำเป็นต้องลงแรงอะไรมากมายให้เหนื่อย เพียงแต่ต้องงัดเอาความสามารถทุกสิ่งอย่างที่เรามีอยู่ในตัวออกมาเพื่อใช้สร้างเงิน

ไลฟ์สไตล์ที่อิสระกว่า

เด็กรุ่นใหม่รักชีวิตอิสระมาก ซึ่งจริง ๆ แล้วพวกเขาอาจคาดหวังไลฟ์สไตล์การทำงานที่อิสระ มีเวลาให้ได้ใช้ชีวิตมากกว่าการคาดหวังเรื่องรายได้เสียอีก พวกเขามองว่างานประจำที่มีเงื่อนไขเรื่องเวลาเข้างานออกงานเป็นเรื่องล้าสมัย จะลางานแต่ละทีก็เป็นเรื่องยากลำบากทั้งที่มีสิทธิ์ที่จะลา ในขณะที่ถ้าพวกเขาทำอาชีพอิสระ แม้อาจจะเสี่ยงเรื่องรายได้ที่ไม่แน่นอน แต่พวกเขาก็ยังขยับตัวไปไหนมาไหนได้มากกว่า เลือกที่หยุด เลือกที่จะพักได้อย่างอิสระ โดยเรื่องรายได้ก็เป็นเรื่องที่พวกเขายอมรับได้ในช่วงที่ไม่ได้ทำงานก็จะไม่มีเงินเข้ามา

หากพวกเขาทำงานประจำ พวกเขาจะพบว่าตัวเองต้องเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางท่ามกลางสภาพจราจรที่ไม่น่าพิสมัย และการนั่งทำงานรวม ๆ 8-9 ชั่วโมงต่อวัน เลิกงานก็ต้องเหนื่อยเดินทางอีกเช่นเดิม ในขณะที่เมื่อพวกเขาเห็นชีวิตของคนอื่น ๆ ในโซเชียลมีเดีย จะพบว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกันมีชีวิตทำงานที่ออกแบบได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องตื่นแต่เช้ามืด ไม่ต้องเดินทางเข้าไปทำงานที่ออฟฟิศ หรือทำงานอยู่ที่ไหนก็ได้ ที่บ้าน ร้านกาแฟ สถานที่ท่องเที่ยว แต่ก็มีเงินกินเงินใช้เหมือนกัน (อาจจะมีมากกว่าที่ได้จากงานประจำด้วย)

ไอดอลที่ประสบความสำเร็จที่พวกเขารู้จัก ไม่ใช่มนุษย์เงินเดือน

เด็กรุ่นใหม่เติบโตมากับไอดอลหรือคนดังที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งพวกเขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่พวกเขาไม่ใช่มนุษย์เงินเดือน และบางคนเรียนไม่จบ (ทว่าคนเหล่านั้นฉลาดเกินกว่าจะเรียนในสิ่งที่สถานศึกษาสอน) ที่มักจะมีการนำพวกโควทคำพูด คำคมสร้างแรงบันดาลใจมาทำเป็นมีม เจ้าตัวพูดจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง บิดเบือนบ้าง แต่เด็กรุ่นใหม่ก็โตมากับอะไรแบบนี้ โดยที่บางคนก็เชื่อเลยทันที ไม่มีการไตร่ตรอง และบางคนก็พยายามทำความรู้จักชีวิตคนดังพวกนั้น จนพบว่าโควทคำพูดนั้นบิดเบือนหรือพูดจริง

สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ไอดอลหรือคนดังที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานที่เด็กรุ่นใหม่รู้จัก เป็นนักธุรกิจ นักพัฒนา เจ้าของธุรกิจ นักลงทุน ยูทูบเบอร์ อินฟลูเอนเซอร์ เกมเมอร์ บล็อกเกอร์ พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ คนที่เป็นนายตัวเอง ฯลฯ แทบจะไม่มีคนไหนที่เป็นพนักงานประจำ แล้วมาแชร์ความสำเร็จจากการทำงานประจำ หรือการเป็นมนุษย์เงินเดือน

คนรุ่นใหม่จึงรู้สึกว่าการเป็นมนุษย์เงินเดือนในยุคสมัยนี้มันไม่ตอบโจทย์ชีวิตของพวกเขา เป็นทางเดินที่ต้องงมทางเอาเอง ไม่มีตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จจากการทำงานประจำแล้วมีชีวิตสุขสบายออกมาแชร์ประสบการณ์ จริง ๆ แล้วคนที่ทำงานประจำจนประสบความสำเร็จมันก็มี แต่ส่วนมากก็เป็นคนที่ทำงานมานานมาก ๆ อาจเป็น 10-20 ปี ไม่ใช่คนที่ยังอายุน้อย ๆ ในขณะที่เด็กรุ่นใหม่หลายคนต้องการประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย

ที่สำคัญ โควทคำคมเหล่านั้นจะมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือการบอกให้ตามความฝันและจงใช้ชีวิต แต่ภาพของงานประจำที่พวกเขารู้จัก มันถูกจำกัดความฝันและชีวิต พวกเขาต้องทำงานเดิม ๆ ที่แสนน่าเบื่อ อีกทั้งยังมีเรื่องของวัฒนธรรมการทำงานประจำที่สอนให้มุ่งเน้นไปที่การทุ่มเททำงานอย่างหนักให้กับบริษัทเพื่อที่จะเป็นพนักงานดีเด่น มากกว่าจะทำเพื่อความสำเร็จของตัวเอง ตรงนี้ที่พวกเขาอาจรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ทำไมพวกเขาต้องทำงานให้กับความสำเร็จของผู้อื่นทั้งที่ทำงานให้ความฝันตัวเองก็ได้ ในเมื่อมีทางเลือกที่ดีกว่า ทำไมต้องทำงานประจำ

ดังนั้น แล้วถ้าหากเห็นคนรุ่นใหม่ที่มีความฝันว่าอยากที่จะเป็นนายตัวเอง ก็อย่าเพิ่งไปดูถูกหรือตราหน้าพวกเขา การที่เด็กรุ่นใหม่มีความคิดแบบนี้ไม่ได้แปลว่าพวกเขาเป็นคนไม่สู้งาน แต่พวกเขาตั้งคำถามว่าสู้ไปเพื่ออะไรมากกว่า

ภาพจำของงานประจำเปลี่ยนไป

งานประจำ เคยมีภาพจำในเรื่องของความมั่นคง มีรายได้สม่ำเสมอในทุกเดือน กลับกันคนที่มีอาชีพอิสระ เงินจะไม่มีถ้าไม่มีงานเข้ามา แต่ปัจจุบันนี้ คนรุ่นใหม่มองว่าไม่ว่างานประจำหรืองานอิสระความเสี่ยงมันก็เหมือนกันหมด ความมั่นคงจากงานประจำกลายเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนไม่อาจสัมผัสได้ เพราะคนที่ออกมาทำงานอิสระทุกวันนี้ จำนวนไม่น้อยก็ตกงานมาจากงานประจำ ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี นายจ้างไปต่อไม่ไหว ยอดขายไม่โต ธุรกิจขาดทุนมากกว่ากำไร งานลดก็ต้องลดคนเพื่อลดต้นทุน หรือสุดท้ายก็ตกงานอยู่ดีเพราะบริษัทปิดตัว

ทำให้เด็กรุ่นใหม่เห็นว่างานประจำก็มีสิทธิ์เจอความไม่มั่นคงไม่ต่างกัน แล้วยิ่งถ้าอาจต้องตกงานในวัยที่ไม่อาจไปหางานประจำที่ไหนได้อีกก็ยิ่งแย่ ถ้าเป็นแบบนี้ออกมาเป็นนายตัวเองไปเลยจะดีกว่าไหม ในเมื่อมันก็มีความเสี่ยงเหมือน ๆ กัน จะรอวันที่ตัวเองหมดสภาพก่อนแล้วค่อยคิดทำทำไม ในวันนี้ยังมีแรง มีไฟ มีพลัง มีความคิด ก็เริ่มตั้งแต่วันนี้เลยก็ได้ ในเมื่อพวกเขาเห็นทางเลือกแล้ว พวกเขาก็คงจะประเมินเลือกในสิ่งที่อาจทำเงินให้เขาได้มากกว่า มีความสุขมากกว่า เป็นอิสระมากกว่า และทำเพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จ

ระบบงานประจำทำให้รู้สึกไม่ประทับใจ

เด็กรุ่นใหม่หลายคนรู้สึกไม่ดีกับงานประจำเป็นทุนเดิม เพราะพวกเขาอาจเริ่มเห็นจากปฏิกิริยาของพ่อแม่ตัวเองที่อยู่ในระบบงานประจำมาเหมือนกัน ทั้งมุมมองต่อนายจ้าง เนื่องจากระบบนายจ้าง-ลูกจ้าง วัฒนธรรมองค์กร หรือลักษณะการทำงานที่ทำงานหนักแค่ไหนก็ไม่รวยเสียที

เมื่อพวกเขารู้สึกไม่ประทับใจ การทำงานประจำก็ไม่ตอบโจทย์ชีวิตของพวกเขา ไม่เพียงแต่ทัศนคติของเด็กรุ่นใหม่ต่อนายจ้างที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่ดี การที่นายจ้างมองเด็กจบใหม่เป็นวัยรุ่นที่ทำอะไรไม่เป็น ไม่สู้งานก็ทำให้พวกเขาไม่ปลื้มเช่นกัน เด็กหลายคนกระหายการยอมรับและโอกาสในการแสดงความสามารถ แต่กลับไม่ได้ทำงานอะไรนอกจากถ่ายเอกสาร ชงกาแฟ ตัดกระดาษ อยู่ร่วมเดือน ก็ไม่แปลกที่พวกเขาจะเบื่อแล้วลาออก ก็กลับถูกผู้ใหญ่มองว่าไม่ทนงาน งานง่าย ๆ ก็ยังทำไม่ได้ แล้วงานยากกว่านี้จะทำได้อย่างไร ทั้งที่เด็กแค่มองว่างานแบบนี้มันน่าเบื่อ ไม่มีความท้าทายใด ๆ เลย และไม่รู้ว่าต้องทำแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน

จริง ๆ แล้วการที่พวกเขาลาออกบ่อย ๆ พวกเขาอาจแค่ยังไม่เจองานที่ใช่ พวกเขาไม่ได้เป็นพวกเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อแบบที่ผู้ใหญ่มักดูถูก ก็แค่ไม่รู้จะอดทนกับชีวิตที่ไม่มีความสุขไปทำไม เมื่อเด็กรุ่นใหม่กับคนรุ่นเก่ามองเห็นกันคนละมุมแบบนี้ ก็เกิดความไม่เข้าใจกัน และต้องยอมรับอีกเหตุผลด้วยว่าเด็กรุ่นใหม่รักอิสระมากกว่าที่จะอยู่ใต้อำนาจใคร ยิ่งพวกเขาโดนดูถูกประมาณว่า “ขี้เกียจ เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ไม่ทนงาน อ่อนหัด โลกสวย ไม่ยอมรับความจริง” พวกเขายิ่งกระหายจะเอาชนะคำดูถูกพวกนี้ พวกเขาจึงต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าพวกเขาก็ประสบความสำเร็จได้เหมือนกัน โดยไม่จำเป็นต้องอยู่ในระบบงานประจำ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook