คุณแม่เพลีย ลูกชาย ป.1 ดื้อไม่หยุด เลยดัดนิสัยพาไปใช้ชีวิตเป็นคนเร่ร่อน 1 วันเต็มๆ

ปัญหาเด็กดื้อ เด็กนิสัยเกเรนั้น เรียกว่าเป็นปัญหาที่สร้างความปวดหัวให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองเป็นอย่างมาก ซึ่งปัญหาเด็กดื้อนั้นก็ต้องมีการแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด ถึงจะจดจำและเลิกดื้อได้

โดยล่าสุดนั้นมีคุณแม่คนหนึ่งจาก เมืองชินจู๋ จากไต้หวัน ได้มาโพสต์เรื่องราวการจัดการลูกชายจอมดื้อแบบไม้แข็งผ่านกลุ่มชุมชนบนเฟซบุ๊ก 爆廢公社 ซึ่งเรียกว่าสอนบทเรียนให้กับหนูน้อยคนนี้เป็นอย่างมาก

แก้ปัญหาลูกดื้อ

ในโพสต์ของคุณแม้นั้นได้ระบุว่า ลูกชายของเธออยู่ชั้น ป.1 เป็นเด็กที่นิสัยค่อนข้างดื้อ ไม่ทำการบ้าน เอาแต่ใจ ไม่สนความรู้สึกของพ่อแม่ ที่ต้องทำงานหนักเพื่อทำให้บ้านอบอุ่น มีทุกอย่างที่คอยให้ความสะดวกสบาย

เธอได้เล่าว่า เธอตัดสินใจที่ให้ลูกชายจอมซนของเธอได้รับประสบการณ์สุดพีคด้วยตัวเอง ให้เป็นคนเร่ร่อนไร้บ้านแบบเต็มๆ 1 วัน ให้รู้สึกถึงความลำบากของชีวิต โดยเริ่มจากปล่อยให้ลูกเล่นสนุกไม่ห้าม ไม่ช่วยอาบน้ำ หลังจากนั้นก็พาเขาออกไปที่สวนสาธารณะพร้อมกับถุงขยะเพื่อให้รับรู้ถึงประสบการณ์คนไร้บ้าน

แก้ปัญหาลูกดื้อ

หลังจากไปที่สวนสาธารณะเธอก็ได้บอกกับลูกชายว่า พวกเราจะนอนกันที่นี่คืนนี้ ต้องใช้ถุงขยะแทนที่นอน เด็กชายร้องไห้หนักมาก และในช่วงค่ำๆ ก็มีตำรวจมาตรวจตราที่สวนสาธารณะ และมาถามว่าทำไมแม่ลูกถึงมานอนกันที่นี่ ลูกชายก็ได้ตอบไปว่า "เพราะเขาไม่อยากเรียนหนังสือ เลยต้องมาเป็นคนไร้บ้าน" ซึ่งทางตำรวจก็เข้าใจสถานการณ์ที่คุณแม่กำลังสอนบทเรียนให้กับหนูน้อย จึงตามน้ำหาลังกระดาษมาช่วยกันลมให้ความอบอุ่นกับแม่ลูกไปอีก

แก้ปัญหาลูกดื้อ

ทั้งคู่ใช้เวลานอนนอกบ้านเป็นคนไร้บ้านหนึ่งคืนเต็มๆ และเมื่อรุ่งเช้า แม่ก็พาลูกชายไปที่ถังขยะ แล้วบอกว่าเราจะหาของกินได้จากที่นี้ และจะพาลูกชายเดินเตร็ดเตร่ต่อไปอีก แต่หนูน้อยถึงกับผวา และรีบขอโทษแม่ในทันที พร้อมบอกว่าอยากกลับไปที่บ้านที่แสนอบอุ่น แทนที่จะใช้ชีวิตแบบลำบาก

แก้ปัญหาลูกดื้อ

หลังจากที่กลับมาที่บ้านแล้ว นิสัยของหนูน้อยก็เรียกว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทั้งมีสัมมาคารวะมากยิ่งขึ้น พูดจาไพเราะ เป็นเด็กดีเชื่อฟังคำสอนของพ่อแม่ อีกทั้งยังสัญญาว่าจะตั้งใจเรียนให้เต็มที่อีกด้วย

หลังจากเรื่องราวของเธอถูกแชร์ลงไปในกลุ่ม ก็เรียกว่ามีผู้คนเข้ามากดไลก์ เข้ามาคอมเมนต์กันอย่างมากมาย ทั้งต่างแสดงความคิดเห็นว่า ถึงวิธีการของเธออาจจะดูโหด ไม้แข็งไปซักหน่อยสำหรับเด็ก ป.1 แต่มันก็ได้ผลมาก และเป็นไอเดียที่ไม่เลวเลย