ล่าแม่มดออนไลน์ และลัทธิบูชาโซเชียลมีเดียเป็นชีวิตจิตใจ

ล่าแม่มดออนไลน์ และลัทธิบูชาโซเชียลมีเดียเป็นชีวิตจิตใจ

ล่าแม่มดออนไลน์ และลัทธิบูชาโซเชียลมีเดียเป็นชีวิตจิตใจ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในยุคที่ทุกคนมีสื่ออยู่ในมือ มีโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางการแสดงออกไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวชีวิตส่วนตัว ประสบการณ์ อุทาหรณ์เตือนใจ หรืออื่น ๆ เป็นสิ่งที่สามารถที่จะกระทำการใด ๆ ก็ได้อย่างอิสระ โดยอ้างสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออกอันพึงมี อันที่จริงเราก็สามารถทำได้ตามนั้น เราอยากจะทำอะไรก็ทำได้ ทว่ามันมีอยู่เงื่อนไขเดียวที่เรามักจะหมิ่นเหม่เสมอ คือ มีคนอื่นเดือดร้อนจากการใช้งานสื่อออนไลน์อย่างอิสระของเรา

การใช้สื่อออนไลน์ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายรูปแบบ โดยมีรูปแบบหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นก็คือ “การล่าแม่มดออนไลน์” เมื่อพิจารณาจากวิธีแล้ว เราจะพบว่ามันเป็นกลั่นแกล้งรูปแบบหนึ่งที่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียหรือช่องทางออนไลน์เป็นเครื่องมือ มีการไล่ล่า โจมตี ตัดสิน ให้ร้ายบุคคลที่คิดต่าง คิดและทำแบบผิดแผกแตกแยกไปจากคนหมู่มากผ่านโลกออนไลน์ ประจานบุคคลนั้น ๆ ด้วยคลิปวิดีโอ รูปภาพที่แอบถ่ายโดยเจ้าตัวไม่อนุญาต จากนั้นก็มีการแสดงความคิดเห็นที่รุนแรง ทำให้บุคคลนั้นตกเป็นเป้าหมายหรือเหยื่อของการประณามจากคนในทางสังคม

ที่มาของคำว่า “ล่าแม่มด” นั้น เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 15-18 ในโลกตะวันตก เป็นปรากฏการณ์ที่มีการแสวงหาบุคคลซึ่งถูกตราหน้าว่าเป็น “แม่มด” โดยเหยื่อมักจะเป็นหญิงชราที่รูปร่างหน้าตาแตกต่างจากคนทั่วไป หรือผู้หญิงที่อาศัยอยู่คนเดียว คนกลุ่มนี้จะถูกสงสัยและกล่าวหาว่าเป็นแม่มด เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องร้าย ๆ ภัยพิบัติ หรือโรคระบาด คนกลุ่มนี้จึงเป็นตัวอันตรายของสังคมที่จะปล่อยให้มีอิสระไม่ได้

ในเมื่อคนส่วนใหญ่ในสังคมเชื่อไปในทิศทางเดียวกันว่าคนนั้นคนนี้เป็นแม่มด หญิงเหล่านั้นจะถูกจับตัวมาทรมานด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อบีบบังคับให้รับสารภาพและเพื่อที่จะได้ไม่ไปทำพิธีร่ายมนตร์ดำอีกจนถึงแก่ความตาย อย่างไรก็ตาม ผู้ถูกกล่าวหาไม่มีโอกาสได้ชี้แจงใด ๆ เลย จึงมีคนที่ต้องตายอย่างทรมาน เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดนับหมื่นนับแสนคน ก่อนที่การล่าแม่มดสุดโหดร้ายจะยุติลงในศตวรรษที่ 18

จะเห็นว่าคนที่ตกเป็นเหยื่อการล่าแม่มดออนไลน์ในปัจจุบันก็ต้องเผชิญหน้ากับความเลวร้ายไม่ต่างจากการล่าแม่มดในอดีต แต่สิ่งที่ต่างกัน คือในอดีตยังมีการกล่าวอ้างถึงความชั่วร้ายที่ (เข้าใจว่า) เกิดจากการใช้ไสยศาสตร์ของคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ด้วยความกลัว แม่มดจึงถูกไล่ล่า และถูกทรมานจนถึงแก่ความตาย แต่การล่าแม่มดในยุคปัจจุบัน มักทำไปเพียงเพราะเหยื่อไม่ได้ทำตามบรรทัดฐานบางอย่างที่คนบางกลุ่มในสังคมตั้งขึ้นมาเอง แค่คิดต่าง ทำไม่เหมือน คุณก็มีสิทธิ์ที่จะถูกไล่ล่าแล้ว ไม่ต้องอ้างถึงความชั่วร้ายใด ๆ เลย

เมื่อผู้คนใช้สื่อออนไลน์ชักจูงให้รุมด่า รุมประณาม ต่อว่า หยามเหยียดคนอื่น และอาจจะเลยเถิดถึงการทำร้ายร่างกายกัน โดยที่คนอื่น ๆ ก็เชื่อตาม นี่ไม่ต่างจากพฤติกรรมของนักล่าแม่มดในอดีตเลย โดยเฉพาะการใช้โซเชียลมีเดียในการทำร้ายผู้อื่น การโจมตีบุคคลที่คิดต่าง การประจานบุคคลอื่นด้วยรูปภาพ วิดีโอ ให้ตกเป็นเป้าหมายของการด่าทอของคนในสังคมทั้งที่ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่แท้จริงด้วยซ้ำ เหยื่อจึงกลายเป็นจำเลยของสังคมไปโดยปริยาย นั่นเท่ากับว่าโลกออนไลน์ได้ทำลายชีวิตคนคนหนึ่งไปแล้ว

ความเกลียดชังที่สร้างขึ้นด้วยปลายนิ้วคลิก

อินเทอร์เน็ตช่วยย่อโลกจากที่เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งลงมาเป็นหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดประมาณฝ่ามือ โลกอยู่ในกำมือทุกคน ความเป็นไปต่าง ๆ ทั่วทุกมุมโลกเราสามารถรู้ได้ภายในเสี้ยววินาที เรื่องราวที่คนอื่นโพสต์ แชร์ กดไลก์ ก็ถูกกระจายต่อได้อย่างรวดเร็ว แปลว่าหากมีใครสักคนกำลังตกเป็นเป้าหมายของการล่าแม่มดออนไลน์ มันก็จะเกิดขึ้นได้ภายในชั่วเสี้ยววินาทีเช่นกัน

เมื่อเราเห็นคลิป เห็นภาพ หรือได้อ่านข้อความจากโซเชียลมีเดียที่มีการแชร์ต่อกันมา จากการที่มีความพยายามทำให้คนคนหนึ่งตกเป็นจำเลยสังคม ในโลกอินเทอร์เน็ตนั้นไม่เหมือนการพูดคุยโต้เถียงกัน ทำให้การโพสต์และการอ่านจากโพสต์นั้นสามารถทำให้คนที่ได้อ่านคล้อยตามได้มากกว่าการพูดคุยปกติที่เราสามารถสื่อสารกลับได้ทันที แต่การเสพจากโพสต์ของคนอื่น เราจะเสพด้วยความคิด ความเชื่อ และประสบการณ์ที่มีของเรา ยิ่งหากมีร่วมกันกับผู้ส่งสาร เราจะคล้อยตามได้ไม่ยาก ยิ่งเราอินกับมันมากเท่าไร เราก็ยิ่งอยากมีส่วนร่วมมากขึ้นเท่านั้น

ดังนั้น ถ้าเราเกิดมีความคิดในเชิงเห็นด้วยกับต้นโพสต์ ที่กำลังประณามใครคนหนึ่งอยู่ ก็มีแนวโน้มที่เราจะกระโดดเข้าไปร่วมในกองคาราวาน เพื่อให้บุคคลนั้น ๆ ได้รับโทษบางอย่างจากสังคม ต่อให้บุคคลนั้นทำผิดจริง ก็เป็นการตัดสินโทษโดยกฎหมู่ที่ใช้ศาลเตี้ย ทำให้คนนั้นตกเป็นจำเลยของสังคมโดยไม่ผ่านกระบวนการยุติธรรม โดนรุมด่า หรือโดนขับไล่จากสังคม (โดนแบน) เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราเป็นผู้มีศีลธรรม และไม่ผิดอะไรที่จะลงโทษคนผิด ได้มีส่วนร่วมกับสังคม และเราก็จะเชื่อไปเองว่าสิ่งที่เราทำคือความถูกต้องดีงาม สำเร็จความใคร่ทางศีลธรรมเรียบร้อย

กรณีการลงโทษคนผิดด้วยศาลเตี้ย สำหรับประเทศไทยมักเกิดขึ้นจากกระบวนการทางกฎหมายที่ไม่ชัดเจน คนสงสัยว่าคนทำผิดอาจหลีกเลี่ยงโทษ หรือมีวิธีที่จะไม่ต้องรับผิด ในเมื่อกระบวนการยุติธรรมทำอะไรไม่ได้ ไม่มีความชัดเจน ไม่รวดเร็วทันใจ จึงต้องล่าแม่มดเพื่อแสดงตัวตนว่าเราเป็นคนที่มีศีลธรรม มีความถูกต้องในจิตใจ กฎหมู่จากศาลเตี้ยก็พร้อมทำงาน และรู้สึกสะใจดีที่ได้เป็นผู้ลงทัณฑ์เอง

การที่เราคล้อยตามสังคม ไหลตามคนอื่นได้ง่ายเกินไป แสดงให้เห็นถึงการเชื่อทุกอย่างโดยขาดวิจารณญาณ เราแค่ต้องการจะมีส่วนร่วม ต้องการตามให้ทันกระแสสังคม ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้ว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง รู้เรื่องดีแค่ไหน อ่านแค่ไม่กี่ตัวอักษรก็พร้อมที่จะทำร้ายคนอื่นโดยไร้ซึ่งความเห็นอกเห็นใจ ด่วนตัดสินไปก่อนเรียบร้อย เราก็คือคนหนึ่งที่ไม่รู้เท่าทันสื่อ และบกพร่องในการควบคุมหักห้ามใจที่จะต้องขอไปมีส่วนร่วมกับทุก ๆ ดราม่าให้ได้ทั้งที่ไม่จำเป็น และถ้าคอมเมนต์ของเราถูกใจคนอื่นมาก ๆ เราก็จะพลอยได้แสง ได้ซีนจากประเด็นที่เกิดขึ้น ยิ่งหลงระเริงเข้าไปใหญ่

จริง ๆ แล้ว การสร้างความเกลียดชังด้วยวิธีการล่าแม่มด เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท เป็นการละเมิดสิทธิ์ ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 เป็นโทษที่ยอมความไม่ได้ ดังนั้น หากคิดจะด่าหรือให้ร้ายใคร ก่อนจะโพสต์ทุกอย่าง คิดให้ดี ๆ มีคนอื่นที่พร้อมจะบันทึกสิ่งที่เราทำทุกเมื่อ แม้จะเป็นเวลาสั้น ๆ แต่เมื่อมันเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์แล้ว ก็ไม่สามารถลบออกประวัติการใช้งานที่มีผู้ใช้เป็นพันล้านคนบนโลกได้ ดังนั้น การโพสต์ลงอินเทอร์เน็ตจึงไม่ใช่เรื่องส่วนตัวถ้าเราพาดพิงคนอื่น ส่วนการกดไลก์ กดแชร์ แม้จะไม่ผิด แต่ก็เหมือนเป็นการส่งเสริมให้คนนั้นโดนทำร้ายมากกว่าเดิม

โซเชียลมีเดียคือพื้นที่แสดงออกของทุกสิ่งอย่างในชีวิต

ทุกวันนี้ โซเชียลมีเดียกลายเป็นสื่อรูปแบบหนึ่งที่ทุกคนมีอยู่ในมือ ทุกคนมีโอกาสที่จะสถาปนาตัวเองเป็นสื่อได้ หากมีการลงรูป ลงคลิป หรือข้อความอะไรบางอย่างที่อาจมีผลกระทบต่อคนจำนวนมาก ดีไม่ดีจะได้รับติดต่อขอใช้ภาพ คลิป หรือถูกขอสัมภาษณ์จากสื่อมวลชนจริง ๆ ด้วยซ้ำ และไม่ว่าชีวิตเราจะเป็นอย่างไร ก็ขอใช้โซเชียลมีเดียที่เข้าใจว่าเป็นพื้นที่ของตนเองโพสต์ลงไว้ก่อน โซเชียลมีเดียจึงกลายเป็นพื้นที่แสดงออกทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต บางคนรวบรวมให้เป็นพื้นที่ที่เหมือนกับบันทึกอัตชีวประวัติเล่มหนึ่ง

เมื่อสื่อออนไลน์ในปัจจุบันได้กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการระบายความรู้สึกของผู้คน ทั้งการระบายด้วยความรู้สึกจริง ๆ หรือระบายเพื่อจุดประสงค์จะทำลายคนอื่น โซเชียลมีเดียจึงกลายเป็นเครื่องมือพิพากษาบุคคลให้กลายเป็นคนผิดในสังคมในเวลาไม่กี่วินาที ตั้งแต่โซเชียลมีเดียเป็นที่นิยม เราก็มักจะเห็นข่าวการทำลายกันผ่านโลกออนไลน์เสมอ ๆ การโพสต์ประจาน รวมถึงการขุดคุ้ยประวัติของเป้าหมาย เพื่อที่จะเอามาใช้โจมตีระบายความรู้สึกเพื่อความสนุก และเพื่อให้บุคคลนั้นไม่มีที่ยืนในสังคม

ส่วนผู้ใช้งานคนอื่น ๆ ก็จะถูกการทำงานของระบบ AI และ Algorithm เข้าแทรกแซง เพราะมันจะทำให้เราเห็นแต่สิ่งที่เราชอบเสพ เห็นเฉพาะสิ่งที่ถูกใจเราและสิ่งที่เราอยากจะเห็น ตัดขาดจากข้อมูลอีกด้านไปอย่างสิ้นเชิง มันจึงทำให้เราขาดโอกาสในการเห็นความคิดของคนอื่น ๆ ที่ไม่ได้คิดแบบเดียวกับเรา สิ่งนี้ทำให้เราเชื่อว่าโลกที่เราเห็นคือ “ทั้งหมด” และบนโลกนี้ก็มีแต่คนที่คิดเหมือนกันกับเรา ก็ไม่แปลกที่ความเชื่อหนึ่ง ๆ จะถูกทำให้เป็นความเชื่อของ “เสียงส่วนใหญ่” ของสังคมได้

เช่นกรณีที่เรายึดติดว่าทุกอย่างในชีวิตต้องอัปเดตผ่านโซเชียลมีเดียให้คนอื่นรู้ เราจะเชื่อเพราะคิดเองเออเองว่าทุกคนเป็นเหมือนกันหมดว่าโซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ที่ใช้เล่าความเป็นไปในชีวิตตัวเอง พอเกิดเหตุการณ์บางอย่างแล้วไม่โพสต์ กลายเป็นว่าผิด เช่น พ่อแม่เสีย แล้วถ้าไม่โพสต์ว่าตัวเองเสียใจในโซเชียลมีเดียของตัวเอง ก็จะมีคนต่อว่าว่าไม่เสียใจเหรอ ทำไมไม่โพสต์ กลายเป็นว่าไม่โพสต์แปลว่าอกตัญญู ไม่ร้องไห้ก็อกตัญญู นั่นคือ ถ้าไม่โพสต์ความรู้สึกของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ คุณอาจกลายเป็นฝ่ายตรงข้ามกับคนที่คอยจ้องเล่นงาน จ้องจับผิดโดยไม่รู้ตัว

กรณีแบบนี้ก็เป็นการล่าแม่มดได้เช่นกัน หากการที่เราไม่โพสต์เสียใจ หากสูญเสียบุคคลสำคัญระดับประเทศไป ไม่โพสต์เท่ากับไม่เสียใจ ไม่เสียใจแปลว่าไม่รัก เป็นการตีความเอาเองจากการมองว่าตัวเองเป็นไม้บรรทัดวัดโลก เมื่อเห็นว่าคนที่ไม่โพสต์แปลว่าไม่รักเท่ากับผิด เกิดเป็นความไม่พอใจ ไม่ถูกใจ หรือรับไม่ได้ จนต้องมีการลงทัณฑ์ทางสังคม มีการต่อว่าหรือด่าทอทันที ยิ่งเมื่อมีการรวมตัวของกลุ่มคนที่มีความไม่พอใจในเรื่องเดียวกัน ก็จะกลายเป็นการล่าแม่มดในโลกออนไลน์ไปโดยปริยาย ไปละเมิดสิทธิ์และความเป็นส่วนตัวของคนอื่น การที่เขาจะโพสต์หรือไม่โพสต์ก็ไม่ใช่เรื่องของเราที่จะต้องไปวิพากษ์วิจารณ์ แต่อยากไปหาพื้นที่ หาซีนกับสิทธิ์อันพึงกระทำของคนอื่น

ไม่ใช่อย่างที่ตัวเองคิด=ผิด

ทุกวันนี้ เราอยู่ในยุคที่การพิสูจน์ถูกผิดไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะผลจากการพิสูจน์ต้องถูกใจและตรงกับกระแสที่คนส่วนมากในสังคมอยากให้เป็นอีกด้วย ถ้าผิดไปจากที่อยากให้เป็นก็จะปฏิเสธ ไม่เชื่อ ไม่รับฟัง ถูกอคติจากทฤษฎีสมคบคิดเข้าครอบงำ อะไรก็ตามที่ไม่เป็นไปอย่างที่ตัวเองคาดเดา โลกก็จะไม่ยุติธรรมขึ้นมาเสียอย่างนั้น เชื่อเฉพาะสิ่งที่อยากจะเชื่อเท่านั้น เอาสิ่งที่ทั้งเกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้องรอบตัวมาตั้งสมมติฐาน คาดเดาไปต่าง ๆ นานา ทั้งที่ยังไม่มีการพิสูจน์ แต่พร้อมที่จะเชื่อว่าทฤษฎีของตัวเองถูกต้อง

เมื่อก่อน “ทฤษฎีสมคบคิด” อาจอยู่แค่ในกลุ่มที่มีความเชื่อร่วมกัน แต่ในปัจจุบันมีโซเชียลมีเดียเป็นตัวกลางเผยแพร่ความเชื่อหรือข้อมูลในรูปแบบทฤษฎีสมคบคิดมากขึ้น พอมีคนเชื่อร่วมกันหลายคน กลายเป็นเรื่องที่ทำให้หลายคนเชื่อเป็นตุเป็นตะ จนอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อความจริงที่มีการพิสูจน์แล้วด้วย ความจริงกลายเป็นความลวงเพราะคนปฏิเสธที่จะเชื่อ ส่วนความลวงกลายเป็นความจริงก็เพราะใคร ๆ ก็เชื่อแบบนี้ ความเข้าใจดังกล่าวทำให้เกิดความเสียหายอย่างต่อเนื่องและไม่มีท่าทีว่าจะสิ้นสุด

เพราะต่อให้จะมีการพิสูจน์ความจริงกันอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง ถ้าคำตอบมันยังไม่ถูกใจชาวเน็ต ไม่เหมือนกับที่สังคมตั้งธงไว้ว่าจะต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น ห้ามเป็นแบบอื่น เรื่องก็ไม่จบไม่สิ้น และชาวเน็ตก็จะยังทำงานกันผ่านหน้าจอ คีย์บอร์ด ด้วยความเชื่อของตัวเองกันต่อไป ไม่สนใจข้อเท็จจริง ยังคงทำร้ายผู้ที่เกี่ยวข้องไปเรื่อย ๆ ว่าทุจริต รับเงิน อย่างนั้นอย่างนี้ สารพัดจะหาสิ่งมาโจมตี ทั้งที่ก็ไม่ได้เห็นเองกับตา หรือไปหาขุดเอาภาพอื่นมามโนเองก็เป็นไปได้เหมือนกัน

จะเห็นว่าการล่าแม่มดในสังคมไทยตอนนี้เกิดขึ้นจากความกล้าที่มีมากเกินไป เป็นความกล้าที่จะบอกว่า ฉันคือคนถูก เธอคือคนผิด และกล้าที่จะปฏิบัติต่อคนที่ไม่เคยรู้จักกันได้ขนาดนั้น การที่เห็นคนอื่นไม่เป็นอย่างที่ตัวเองคิด ก็เท่ากับคนนั้นผิดไปโดยปริยาย เมื่อเห็นว่าคนนั้นผิดก็อยู่เฉยไม่ได้ ต้องหาวิธีลงโทษ และวิธีลงโทษที่เข้าถึงคนจำนวนมากคือการโพสต์เพื่อหาพวกเดียวกัน ด้วยบรรทัดฐานทางสังคมที่ตั้งขึ้นมาเอง มันจึงเป็นความพยายามจะกำจัดและตราหน้าคนอื่นที่มีความคิดเห็นไม่เหมือนตัวเองว่าเป็นคนผิด และตัวเองเป็นคนที่ถูกต้อง

ความเชื่องมงาย ไม่ได้มีแค่สิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ

ทุกวันนี้เราอาจมองความหมายของคำว่างมงายแคบเกินไป เมื่อนำมาใช้คู่กับคำว่าความเชื่อ ความเชื่อที่งมงายมักถูกทำให้นึกถึงความเชื่อในเชิงไสยศาสตร์ เรื่องลี้ลับเหนือธรรมชาติ สิ่งที่วิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ไม่ได้เสียมากกว่า แต่แท้จริงแล้ว ความเชื่อแบบงมงายมันเกิดขึ้นได้กับทุกสิ่งอย่าง จากการที่เราคิดจะเชื่อในสิ่งหนึ่งแบบปักใจเชื่อ เชื่อเป็นตุเป็นตะ เชื่อแบบจับแพะชนแกะ เชื่อแบบมโนเอง เชื่อแบบตั้งธงไว้แล้วว่าเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ ถ้ามีใครพูดนอกเหนือจากนี้คือผิด มันคือการหลงเชื่อโดยไม่มีเหตุผล หรือโดยไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือเหตุผลของผู้อื่น

นั่นหมายความว่าแม้จะมีหลักฐานจะวางกองอยู่ตรงหน้า คนที่เชื่ออะไรบางอย่างอย่างงมงายก็เลือกที่จะปฏิเสธหลักฐาน แล้วยังคงปักใจเชื่อแค่ในสิ่งที่ตัวเองคิดต่อไป พอมีการเชื่อแบบอุปทานหมู่ เชื่อแบบฟัง ๆ กันมา ส่งต่อกันมา จากการชี้นำความคิดให้เกิดอคติไปแล้ว คนที่เชื่อต่างไปจากนี้ก็จะถูกไล่ล่า กลายเป็นการล่าแม่มดของคนที่อินอยู่กับเรื่องลวง เรื่องที่ตัวเองคิดเองเออเองจากทฤษฎีสมคบคิดเป็นสารตั้งต้น นี่แหละ ความงมงายที่แท้จริง

เพราะการหาแพะ หรือหาใครสักคนมารับผิดชอบ เป็นกลไกทางจิตใจของมนุษย์เพื่อโยนความผิดให้คนอื่น เพื่อทำให้ตัวเองสบายใจขึ้น โลกโซเชียลมีเดียเป็นโลกที่กว้างมากพอหากเราจะมองหาข้อมูลหลาย ๆ ด้านก่อนที่จะเชื่ออะไรแล้วไปไล่ล่าคนที่เชื่ออีกแบบ แต่ส่วนใหญ่เราจะเชื่อกันเลยทันที ด่วนตัดสินคนอื่นไปแล้ว สังคมที่ให้ค่ากับความเข้าใจที่ยังไม่ชัดเจนหรือคลาดเคลื่อนหรือเข้าใจผิด แล้วไปด่วนตัดสินเป็นสังคมที่น่ากลัว เราต้องหยุดคุกคามคนที่เห็นต่างด้วยการล่าแม่มดเสียที ลองนึกถึงวันที่ตัวเองเป็นฝ่ายถูกล่าแล้วไม่ได้รับความเป็นธรรมดูสิ มันน่ากลัวแค่ไหน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook