“โลกหลังโควิด” ชีวิตที่เปลี่ยนไป อะไรบ้างที่ไม่เหมือนเดิม

“โลกหลังโควิด” ชีวิตที่เปลี่ยนไป อะไรบ้างที่ไม่เหมือนเดิม

“โลกหลังโควิด” ชีวิตที่เปลี่ยนไป อะไรบ้างที่ไม่เหมือนเดิม
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โควิด” เรื่องจริงที่อยากให้เป็นเพียงแค่ความฝัน เป็นฝันร้ายที่เรียกน้ำตาของชาวโลกในทุกหย่อม “มนุษย์” ก็นับเป็นสิ่งมีชีวิตที่สุดสตรองมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อ “ความอยู่รอด” หรือที่เรียกกันติดปากว่า “New Normal” หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ชีวิตปกติรูปแบบใหม่”

คำว่า “New Normal” จะทวีความสำคัญ จนไม่ว่าจะประเทศไหนก็หยิบฉวยมาใช้หลายปีแล้ว จนกลายเป็นความเคยชินต่อการใช้ชีวิตซึ่งหลังจากนี้ ไม่มีทางเลยที่ชีวิตของผู้คนจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ หากเราไล่เรียงความเป็นมาจากสถานการณ์นี้ จนบางคนอากลืมไปแล้วว่ามันเกิดขึ้นตอนไหน เมื่อไรกัน เพราะชีวิตทุกวันนี้เราก็คุ้นชินและสามารถปรับตัวจนอยู่รอด มองเป็นสิ่งหนึ่งในชีวิตไปเสียแล้ว

เชื้อไวรัส COVID-19 เป็นโรคติดต่อที่แพร่เชื้อได้ไว จนแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วใน 200 กว่าประเทศทั่วโลก หลายประเทศจึงออกมาตรการเพื่อหยุดยั้งเชื้อ ด้วยการหยุดการเคลื่อนไหวของมนุษย์ การปิดน่านฟ้า การข้ามประเทศ ไล่ไปจนถึงว่าต้องให้คนจำนวนมากอยู่บ้าน วงจรการใช้ชีวิต วงจรเศรษฐกิจเกือบจะหยุดหมุน การเปลี่ยนแปลงขนาดนี้ สังคมเปลี่ยน มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็น ระบบทำงาน ระบบการขนส่ง ระบบเศรษฐกิจ เพราะว่าคนถูกจับที่หยุดนิ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ขยายของโรค

รวมไปจนถึงพฤติกรรมที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงเฉพาะหน้า อย่างการล้างมือ การแยกใช้ภาชนะส่วนตัว การสวมหน้ากาก หรือการรักษาระยะห่าง ทุกคนต่างมีความระวังภัยนี้กันแบบสุดขีดเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากเชื้อร้ายตัวนี้ การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นทั้งในระดับบุคคล สังคม รวมไปถึงระบบบริการต่าง ๆ ด้วย

ล่าสุดเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ปลัด สธ.) ได้ออกมาระบุว่า ปัจจุบันสถานการณ์ดีขึ้นต่อเนื่องและเร็วกว่าฉากทัศน์ที่คาดการณ์ มั่นใจว่าจะเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นตามเวลาที่วางแผนไว้ ประมาณกลางเดือนมิถุนายนจะปรับคำแนะนำให้สวมหน้ากากอนามัยใน 3 กรณี

  1. กลุ่มผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยง
  2. อยู่ในสถานที่ปิด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
  3. กิจกรรมที่มีคนร่วมกันจำนวนมาก พร้อมทั้งขอให้สื่อสารไปถึงประชาชนให้ทราบการปฏิบัติตนและเรียนรู้ ที่จะอยู่กับโรคโควิดต่อไป

อย่างไรก็ดี COVID-19 อาจยังไม่หายไปจากโลกนี้ หรืออาจมีโรคระบาดใหม่เพื่อมาทดสอบความแข็งแกร่งของมนุษย์อีก ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นคงไม่สูญเปล่าแน่นอนเพื่อปรับตัวให้เหมาะสมต่อแนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เราจึงต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลกและสามารถปรับตัวได้ทันที เพื่อเตรียมใจกับรูปแบบการใช้ชีวิตที่อาจจะเปลี่ยนไป หรือเพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุน ระมัดระวังความเสี่ยงที่อาจมากระทบการลงทุน

โลกหลังโควิด จะมีทิศทางเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง

เชื่อว่าหลายคนคงติดตามเรื่องนี้ และคงมีหลากหลายคำถามอยู่ในใจมากมาย ภายใต้การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 ที่ส่งผลกระทบทุกมิติของโลก เศรษฐกิจ การเงิน สังคม วิถีชีวิต ซึ่งเปลี่ยนไปจากเดิม ทั้งนี้มีความเป็นไปได้สูงว่า แม้หลังสถานการณ์ COVID-19 ทั่วโลกคลี่คลาย เราอาจไม่ต้องใส่หน้ากากอนามัยกันแล้วก็ตาม แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือ “โลกจะไม่เหมือนเดิม” มีบางอย่างจะเปลี่ยนไปจากเดิม เพราะสถานการณ์ที่เกิดความเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลัน ทำให้เกิดเป็นวิถีปกติใหม่ หรือ New Normal คำถามที่เราต้องเร่งหาคำตอบคือ…อะไรที่จะไม่เหมือนเดิม

การเปลี่ยนแปลงด้านธุรกิจการค้า

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาโลกพยายามเปิดเสรีทางการค้า สร้างการค้าขายแบบ Online Shopping ซึ่งทำให้เกิดคู่ค้าที่เกี่ยวข้องไปทั่วโลก ทั้งผู้ผลิต ผู้จัดจำหน่าย และผู้บริโภค แบบไร้พรมแดน แต่การมาของไวรัส COVID-19 ถือว่าได้เข้ามาทำลายห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ บริษัทในประเทศที่เคยพึ่งพิงเกิดความเสี่ยงที่ไม่สามารถค้าขายกันได้ระหว่างเกิดโรคระบาด ต้องหันมาทบทวนการลดความเสี่ยงลงโดยหันมาใช้ Local Suppliers มากขึ้น แม้จะมีต้นทุนสูงขึ้นก็ตาม

เกิดวิถีใหม่ในการขาย “ผุดแม่ค้าออนไลน์” มากขึ้น

วิกฤติ COVID-19 เป็นต้นเหตุให้ประชาชนถูกจำกัดพื้นที่ชีวิต จากเดิมที่เคยมีอิสระในการจับจ่ายซื้อของด้วยต้นเองก็มีการเปลี่ยนแปลงไป ร้านค้าปลีกเริ่มสูญเสียอำนาจการแข่งขันไปให้กับ Online Shopping เพราะผู้คนเกิดความไม่สะดวกในการออกไปจับจ่ายใช้สอยเหมือนเช่นเดิม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ทำให้กลุ่มร้านค้าเหล่านี้ปรับตัวมาทำ Online Commerce กันอย่างรวดเร็ว บรรดาร้านค้าเหล่านี้ในอนาคตก็ยังทำธุรกิจทั้งในแบบหน้าร้านและ Online จะไม่มีทางหวนกลับไปทำการค้าในลักษณะ In-store อย่างเดียว ยังส่งผลทางลบต่อบรรดาศูนย์การค้าทั้งหลายที่มีบรรดาร้านค้าต่าง ๆ ไปตั้งอยู่ในนั้นมียอดขายที่ลดลง จำเป็นต้องมีการปรับตัวตามไปด้วยเช่นกัน

ความเชื่อมั่นในคนแปลกหน้าลดลง

เหตุการณ์โรคระบาดครั้งนี้ได้ลดทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคไปทุกหย่อมหญ้า ลองคิดดูว่าเหตุการณ์นี้เราต้องหวาดระแวงคนรอบตัวนานเท่าไร เราต้องเว้นระยะห่างจากคนใกล้ชิดนานเท่าไร เป็นสิ่งที่ยากและต้องใช้เวลาในการสร้างความมั่นใจและความเชื่อใจขึ้นมาอีกครั้ง เราต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใดที่คนจะกล้ากลับไปขึ้นเรือสำราญเพื่อท่องเที่ยวอีกครั้ง หรือการที่จะเปิดบ้านให้ลูกค้าที่เป็นคนแปลกหน้าเข้ามาเช่าห้อง หรือเช่าบ้าน เมื่อเปิดประเทศแล้วนักท่องเที่ยวจะยังกล้ามาเที่ยวเมืองเรามากเหมือนเดิมไหม การฟื้นฟูความเชื่อมั่นนี้ต้องใช้เวลา

ความรู้ด้านเทคโนโลยีจะเพิ่มโอกาสให้แรงงานที่ปรับตัว

ความรู้และทักษะด้าน IT จะสำคัญมากในยุคต่อไป จะทำให้เกิดช่องว่างแบ่งคนออกเป็นคนที่ใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วและคนที่ไม่ชำนาญ ซึ่งคนที่ปรับตัวและใช้ได้จะมีโอกาสได้งานมากกว่า ต่อจากนี้ไปคนจะเริ่มทำงานและเรียนรู้ทาง Online กันมากขึ้น เพราะในช่วงโรคระบาดมันได้พิสูจน์แล้วว่าคนทำงานอยู่ที่ใดก็ได้

หน้ากากอนามัยปัจจัยสำคัญต่อการใช้ชีวิต

จากบทความข้างต้นที่บอกว่าเร็ว ๆ นี้ในเดือนมิถุนายนจะมีการผ่อนปรนการใส่หน้ากากอนามัยกับบุคคลบางกลุ่มได้นั้น เหตุที่เราใส่หน้ากากอนามัยก็เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อเท่านั้น หากได้รับการอนุญาตดังกล่าวแล้วหลายคนคงมีคำถามในใจอยู่มากทีเดียวว่า “จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงจริงหรือไม่” “หากถอดแล้วจะไม่มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกหรือ” การใส่หน้ากากอนามัยที่กลายเป็นเรื่องปกติของการใช้ชีวิตไปแล้วนั้น เราอาจเห็นคนจำนวนมากที่ยังคงใส่หน้ากากอนามัยต่อไป เหตุเพราะไม่เชื่อมั่นว่าไวรัส COVID-19 นี้จะสูญพันธุ์ไปจากโลกของเราแล้วจริง ๆ

กับคนที่ติดเชื้อไวรัส COVID-19 แล้วอาจมองเป็นเรื่องปกติ แต่กับคนอีกจำนวนมากที่ยังปลอดภัย ยังไม่มีการติดเชื้อก็ยังคงใช้ชีวิตกันแบบระมัดระวัง ดังนั้นการที่เราจะเห็นภาพทุกคนเปิดหน้าเห็นรอยยิ้มทักทายกันด้วยความสุข อาจไม่ใช่ในระยะเวลาอันใกล้นี้แน่นอน เรายังคงเป็นสังคมที่ใส่หน้ากากเข้าหากันต่อไป

หลายคนคงต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวคงเป็นการปรับตัวไปข้างหน้า ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เป็นข้างหน้าที่ไม่เหมือนเมื่อวาน เป็นพรุ่งนี้ที่ได้แต่คาดเดา ให้ความเปลี่ยนแปลงผลักมนุษย์เราไปเรื่อย ๆ เป็นชีวิตที่เปลี่ยนไป เป็นสังคมที่เปลี่ยนไป เป็นการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไป และการบริหารรัฐที่ต้องเปลี่ยนไป ใครที่ไม่ปรับเปลี่ยน หรือเปลี่ยนไม่ทัน ก็จะถูกธรรมชาติบังคับให้เปลี่ยน หรือไม่ก็จะถูกทิ้งไว้ที่ชานชาลา เพราะไม่มีตั๋วขึ้นรถไฟสายหลังโควิด!

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook