สำคัญนะ “การชื่นชมลูกหลาน” กับการเติบโตอย่างมีคุณภาพ
ในฐานะคนเป็นพ่อ แม่ ผู้ปกครอง ล้วนต้องการให้บุตรหลานเป็นเด็กที่รู้สึกดีกับตัวเอง มั่นใจและศรัทธาในตัวเอง คุณจึงพยายามสนับสนุน ชื่นชม หรือสรรเสริญสิ่งที่พวกเขาทำหรือความสำเร็จของพวกเขาให้ได้มากที่สุด เพื่อให้พวกเขามีกำลังใจ แต่ในขณะเดียวกันก็มีพ่อแม่ผู้ปกครองอีกจำนวนไม่น้อยที่มีตรรกะฝังหัวว่าอย่าชมเด็ก เพราะจะทำให้เด็กเหลิง แต่เลือกที่จะใช้วิธีกดดัน เคี่ยวเข็ญ เปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น รวมถึงใช้คำพูดแรง ๆ เพื่อให้เด็กฮึดสู้ พอเด็กทนไม่ได้จนร้องไห้ก็โดนว่าซ้ำ หรือหากเด็กแสดงความไม่มั่นใจในตัวเองออกมา ก็โทษว่าเป็นความผิดของเด็กอีกเช่นกัน
ทั้งที่ความจริงแล้ว ความเชื่อว่าการชื่นชมเด็กจะทำให้เด็กเหลิงนั้นไม่ถูกต้องเสียทีเดียว หากรู้วิธีที่จะชื่นชมอย่างถูกต้อง จะให้ผลลัพธ์ในด้านบวก มีงานวิจัยที่ยืนยันว่าการชื่นชม ยกย่องเด็กด้วยคำชมง่าย ๆ สามารถทำให้เด็กเห็นคุณค่าในตัวเอง และมีความภาคภูมิใจในตนเอง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าลูกของคุณจะต้องทำงานกับใครในสังคม สอนให้พวกเขารับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง ด้วยความสามารถที่ดีที่สุดของตัวเองก็พอ ไม่ต้องเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใครทั้งนั้น เช่น “ฉันทำได้” เสียงความเชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองนี้ จะกลบความรู้สึกเชิงลบที่อาจจะเกิดขึ้นมาด้อยค่าด้อยศักยภาพของตัวเด็กเองได้ พวกเขาจะเห็นคุณค่าและนับถือตัวเอง และทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมั่นใจ
เพราะในบางกรณี การชื่นชมเด็กด้วยวิธีการ “อวย” ในพรสวรรค์มากกว่าพรแสวงก็อาจมีผลกระทบในเชิงลบ คำพูดที่พ่อแม่ผู้ปกครองพูดเกินจริง อาจทำให้เด็ก ๆ จดจ่ออยู่ที่ความสามารถของตนเองมากจนเกินไป นั่นหมายความว่าถ้าพวกเขาทำผิดพลาด พวกเขาจะเอาแต่โทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า บั่นทอนความภาคภูมิใจในตนเอง รู้สึกวิตกกังวลและสงสัยในความสามารถของตนเอง นำไปสู่การไม่เชื่อใจตัวเองได้ในสักวัน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาจะรู้สึกกลัว ว่าถ้าเขาไม่ได้เก่งอย่างที่ผู้ใหญ่ชื่นชม พ่อแม่ผู้ปกครองก็จะไม่รักพวกเขาอีกต่อไป!
ฉะนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรตระหนัก “วิธี” ที่จะใช้ในการชื่นชมและยกย่องเด็ก ๆ ให้มากกว่าเดิม ซึ่งนักจิตบำบัดมีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีในการชื่นชมบุตรหลาน ที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรปฏิบัติในการเด็กให้เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ มั่นใจในตัวเอง ศรัทธาในตัวเอง เห็นคุณค่าในตัวเอง นับถือตัวเอง มีแรงจูงใจ และเข้มแข็ง ด้วย 3 วิธีนี้
1. ชมเชยจากพรแสวง
สำหรับเด็ก ๆ แล้ว สิ่งที่มีค่าต่อจิตใจมากที่สุดจากพ่อแม่ผู้ปกครองเวลาที่ประสบความสำเร็จ คือ “คำชมเชย” แต่แทนที่จะชมเชยจากพรสวรรค์ของพวกเขา ลองปรับเปลี่ยนมาเป็นชื่นชมจากพรแสวงและความทุ่มเทของพวกเขาดู จะทำให้เด็ก ๆ มีทัศนคติเชิงบวกต่อการแก้ปัญหาที่ท้าทายมากขึ้นในอนาคต
เช่น หากคุณเห็นว่าบุตรหลานของคุณกำลังทุ่มเทและตั้งใจมากในการทำการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ แทนที่จะชื่นชมสติปัญญาของเด็ก ลองเปลี่ยนมาชื่นชมความมุมานะพยายามของพวกเขาดู ในปี 1990 Carol S. Dweck ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาที่ Graduate School of Education จาก Stanford ได้ศึกษาผลกระทบในการชมเชยเด็ก ในการวิจัยหนึ่งพบว่า เด็กกลุ่มหนึ่งบอกว่าพวกเขาประสบความสำเร็จเพราะสติปัญญาของพวกเขาเอง ในขณะที่เด็กอีกกลุ่มบอกว่าพวกเขาประสบความสำเร็จเพราะพวกเขาพยายามอย่างหนัก
เมื่อเด็กทั้งสองกลุ่มต้องเผชิญหน้ากับปัญหาที่หลากหลายมากขึ้น พบว่าเด็กกลุ่มที่สองจะมองปัญหาเป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยพยายามที่จะแก้ไขและเอาชนะปัญหา Dweck พบว่าการชมเชยเด็กจากพรแสวง จากความทุ่มเท ทำให้เด็ก ๆ รู้สึกมีความมั่นใจในตัวเองที่จะลงมือแก้ปัญหา แม้ว่าพวกเขาอาจจะทำผิดพลาดก็ตาม
2. อย่าทำให้เหมือนกับเป็นการแข่งขัน
เป็นเรื่องปกติของพ่อแม่ผู้ปกครอง ที่เห็นจะปลื้มอกปลื้มใจเวลาที่บุตรหลานประสบความสำเร็จ แล้วมักจะเอาไปเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการอวยเด็กของตัวเองเกินจริง หรือเปรียบเทียบในทางลบ โดยการชื่นชมลูกหลานคนอื่น แล้วบอกให้เด็กของตัวเองดูเป็นเยี่ยงอย่างเพื่อกระตุ้นให้พวกเขาเกิดแรงบันดาลใจ นั่นเป็นความตั้งใจที่ดี ที่อยากเห็นเด็ก ๆ ภาคภูมิใจเหมือนกับที่ผู้ใหญ่รู้สึก หรือมีแรงจูงใจที่จะทำให้ดีขึ้นในครั้งต่อไป แต่…วิธีนี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง
เพราะมันไม่ดีต่อสภาพจิตใจของเด็กเอาเสียเลย ด้วยการให้เด็กติดอยู่ในวงจรอุบาทว์ที่เรียกว่า “การแข่งขัน” ที่ต้องเปรียบเทียบความสามารถของตัวเองโดยใช้มาตรฐานของผู้อื่น จากการวิจัย พบว่าพ่อแม่ผู้ปกครองที่ชมเชยบุตรหลานด้วยวิธีการอวยเกินจริงว่าเลิศเลอกว่าเด็กคนอื่น คือการปลูกฝังนิสัยหลงตัวเอง และพฤติกรรมเรียกร้องความสนใจให้กับเด็กอีกต่างหาก นั่นอาจทำให้พวกเขามีปัญหาในการเข้าสังคม การทำงานเป็นทีมในอนาคต และบั่นทอนความมั่นใจในตนเองเมื่อทำผิดพลาด แล้วรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น
แนวทางที่ดีกว่า คือ การกระตุ้นให้พวกเขาเปรียบเทียบความพยายามและความสำเร็จของตัวเองในเวอร์ชันอดีตกับเวอร์ชันปัจจุบัน ไม่ใช่เปรียบเทียบกับคนอื่น ให้พวกเขาเปลี่ยนเป้าหมายจากการเอาชนะคนอื่น เป็นการพัฒนาตนเองให้ดีกว่าเดิมแทน
3. เปลี่ยนคำพูด เปลี่ยนผลลัพธ์
ถึงจะว่าการชื่นชมจากพรสวรรค์กับการชื่นชมจากพรแสวง จะเป็นการชื่นชมความสำเร็จของเด็ก ๆ เหมือนกัน แต่การปรับเปลี่ยนคำพูดในการกล่าวชมเพียงเล็กน้อย สามารถทำให้ผลลัพธ์เปลี่ยนไปได้ ตัวอย่างเช่น แทนที่จะพูดว่าเก่งมาก ๆ เลย ลองเปลี่ยนเป็นบอกพวกเขาว่าชอบที่พวกเขาทำแบบนี้นะ บอกพ่อแม่ได้ไหมว่าทำไมถึงเลือกที่จะทำแบบนี้ นี่คือวิธีการพูดชมเชยจากพรแสวง ความพยายาม และความทุ่มเทของเด็ก ๆ
การปรับเปลี่ยนคำพูดในการชื่นชมลูกนิด ๆ หน่อย ๆ สร้างแรงบันดาลใจในตัวเด็ก ๆ ได้มากกว่าที่คิด พวกเขาจะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองที่ได้ทุ่มเทความพยายามให้กับบางสิ่ง อีกทั้งยังทำให้พวกเขารู้สึกตื่นเต้นที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายที่มากขึ้นในอนาคต อีกตัวอย่างคือ เมื่อเด็ก ๆ หัดขี่จักรยาน แทนที่จะชมว่าเก่งมาก ๆ ลองเปลี่ยนมาบอกว่าพวกเขาพยายามระมัดระวังและมีสมาธิอย่างมากเพื่อที่จะขี่จักรยานให้ได้ อาจจะมีว่อกแว่กไปบ้างจนเกือบจะล้มจากจักรยาน แต่ก็ยังพยายามพยุงไว้แล้วไปต่อ
ดังนั้น การสร้างพื้นที่ปลอดภัยทางใจให้กับเด็ก ๆ เป็นสิ่งสำคัญ มันคงจะดีกว่าถ้าพ่อแม่ผู้ปกครองจะสร้างบาดแผลในใจพวกเขาให้น้อยที่สุด อย่ายกความผิดพลาดมากล่าวซ้ำเติมบั่นทอนจิตใจ แต่จงให้กำลังใจพวกเขา หากบุตรหลานของคุณสอบตก อย่าเพิ่ง “บอก” ให้พวกเขาเรียนหนักขึ้น แต่ให้ “ถาม” ว่าพวกเขาคิดว่าพอจะทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ผลสอบดีขึ้นในครั้งหน้า พ่อแม่ผู้ปกครองต้องเป็นที่พึ่ง ให้เด็ก ๆ กล้าที่จะเข้าหา ไม่ใช่เฉพาะเวลาที่พวกเขาทำได้ดี แต่ในช่วงที่พวกเขาต้องดิ้นรนและพยายามเพื่อเอาชนะความท้าทายใหม่ ๆ พ่อแม่ผู้ปกครองก็ควรอยู่ข้าง ๆ เขา