เอาตัวรอดในสังคมขี้อวด-ขี้อิจฉา เราหลงทางหาตัวเองไม่เจอ

เอาตัวรอดในสังคมขี้อวด-ขี้อิจฉา เราหลงทางหาตัวเองไม่เจอ

เอาตัวรอดในสังคมขี้อวด-ขี้อิจฉา เราหลงทางหาตัวเองไม่เจอ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

สังคมทุกวันนี้มีคนอยู่มากมายหลากหลายประเภท แต่หลัก ๆ แล้ว เรามักจะเจอคน 2 ประเภทเป็นประจำในโซเชียลมีเดีย คือ ประเภทขี้อวดกับประเภทขี้อิจฉา ยิ่งโลกออนไลน์สามารถเชื่อมต่อคนทั้งโลกเข้าหากันได้ง่ายดายเท่าไร เราก็เห็นชีวิตของคนอื่นได้มากขึ้นเท่านั้น เมื่อมีคนอวดก็ย่อมมีคนอิจฉา ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าบางทีเราเองก็แอบอิจฉาคนอื่นโดยไม่รู้ตัวและในบางทีเราก็ขี้อวดอย่างสุดโต่งเช่นกัน หลงระเริงมัวเมาไปกับการโยงชีวิตของตัวเองให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของคนอื่นมากเกินไป เห็นใครมีอะไรก็ต้องอยากได้อยากมีตาม จนบางครั้งก็เกินลิมิต และวิ่งตามคนอื่นจนไม่รู้ว่าความสุขของตัวเองคืออะไรกันแน่ ซึ่งถ้าเราเริ่มหลงทางจนหาตัวเองไม่เจอ เราต้องเอาตัวรอดจากวังวนนี้ให้ได้

หลบเลี่ยงจากโซเชียลมีเดียบ้าง

ตั้งแต่ที่โซเชียลมีเดียเข้ามามีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของเราอย่างมาก มันก็ทำให้เราได้ตามติดชีวิตคนอื่นมากเกินไป เราเห็นคนอื่นประสบความสำเร็จกันได้ง่าย ๆ เพียงแค่ไถฟีด รวมไปถึงการใช้ชีวิตอยู่กับเสียงสะท้อนในโลกของตนเองเท่านั้น แทนที่เห็นแล้วจะชื่นชมหรือมองผ่านไป กลับหมกมุ่นเอามาเทียบกับตัวเอง อยากได้ อยากมี อยากประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่น กระหายที่จะรีบประสบความสำเร็จเร็ว ๆ ให้คนอื่นมาเป็นแบบอย่างในการใช้ชีวิต พอทำไม่ได้อย่างที่เขาทำ กลายเป็นว่าเราก็นับมันเป็นความล้มเหลวในชีวิต พร่ำโทษนั่นโทษนี่ สภาพจิตใจก็มีแต่จะบั่นทอนลงจากความผิดหวัง ความรู้สึกแย่ที่ตัวเองด้อยกว่าเพื่อน ๆ ในโซเชียลมีเดียที่มีชีวิตดี ๆ ให้อวด

อย่าหลงกลสิ่งที่เห็นบนโลกออนไลน์

อย่าเพิ่งหลงกลสิ่งที่เห็นบนโลกออนไลน์ เพราะจริง ๆ แล้วมันอาจจะเป็นเพียงด้านเดียว หรือเป็นการสร้างภาพทั้งหมดก็ได้ ต้องมีวิจารณญาณและใช้ชีวิตให้ดี คนเรามักจะอวดความสุขและความสำเร็จในชีวิต เพราะอยากให้คนอื่นเห็นภาพชีวิตดี ๆ ของตนเอง หรืออยากให้คนอื่นอิจฉา แต่คนเราไม่ได้อวดตอนที่กำลังพยายามอย่างยากลำบาก หรือไม่ได้อวดด้านแย่ ๆ ให้คนอื่นเห็น คนชอบอวดมีสิทธิ์ที่จะทำแบบนั้น มันเรื่องของเขา ถึงเราจะแยกไม่ค่อยออกว่าภาพความสุขเหล่านั้นของจริงหรือสร้างภาพ แต่มันคงจะดีกว่าเพียงแค่เราจะหันมาโฟกัสที่เรื่องของตัวเองให้มากขึ้น ยุ่งเรื่องของคนอื่นให้น้อยลง หาความสุขของตัวเองให้เจอ จะได้ไม่ไปยุ่งวุ่นวายกับความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ของคนอื่นเขา

สร้างตัวตนของตัวเองที่น่าภาคภูมิใจ

เพราะทุกวันนี้ เราให้ความสำคัญกับเรื่องภาพลักษณ์ภายนอกกันมาก ในโลกเสมือน เรามักกังวลว่าผู้คนในโลกโซเชียลรู้จักเราแบบไหน ให้ความสำคัญกับเราแค่ไหนเมื่อเรากดโพสต์ ส่วนในโลกจริง เราก็กังวลว่าคนอื่นจะมองเราแบบไหน จำไว้ว่า “ไม่มีใครสนใจเราขนาดนั้น” ไม่ต้องวุ่นวายอยู่กับการประกาศชีวิตของตนเองให้โลกรู้นักก็ได้ว่าตอนนี้เราเป็นอย่างไร จะไปเที่ยวต่างประเทศ กินของแพง ใช้รถหรู ซื้อบ้านใหม่ อกหัก เลิกกับแฟน แฟนมีกิ๊ก ก็ไม่ต้องโพสต์บอกโลกไปเสียทุกเรื่อง เพียงแค่ลองพยายามที่จะตามหาตัวตนของตัวเองให้เจอแล้วมีความสุขกับมันดู ค่อย ๆ สร้างตัวตนของตนเองที่คิดว่านี่แหละมันน่าภาคภูมิใจที่สุด

แค่มีความสุขในแบบที่เรามีได้

ความอยากได้อยากมีนั้นมันมีอยู่ในตัวของทุกคนอยู่แล้ว แต่ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมีเท่ากับคนนั้นคนนี้ ชีวิตถึงจะมีความสุขได้ เพียงแค่เราเลือกที่จะให้มันเป็นความสุขแบบที่เพียงพอกับสิ่งที่เรามีและเราเป็นอยู่ ไม่ต้องดิ้นรนขวนขวาย ทะเยอทะยานมากขนาดนั้นก็ได้ หันหลังให้กับกระแสนิยมและวัตถุนิยมบ้าง เพราะการที่เราพยายามจะมีความสุขให้ได้แบบที่คนอื่นมี บางทีเราก็ไม่สนแม้แต่เรื่องทุนทรัพย์ที่มันไม่เอื้ออำนวยเราเท่าที่ควร ต้องเป็นหนี้เป็นสินเพียงเพราะจะได้มีหน้ามีตาเหมือนคนอื่น หรือการที่ไม่ปฏิเสธที่จะถือของก๊อปเกรดเอ เพราะมองผ่าน ๆ ภายนอกดูเหมือนของแพงก็พอ ในความเป็นจริง สินค้าของแท้ที่ราคาย่อมเยาเข้าถึงง่ายก็มีอยู่ ประมาณตัวเองให้ได้ก็พอ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook